วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หรูได้อีก! โซนี่เตรียมเปิดตัว Xperia P สีทอง 24 กะรัต


 หลังจากโซนี่ (Sony) ได้เปิดตัวและวางจำหน่ายสมาร์ทโฟน Xperia P ไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ด้วยราคาของตัวเครื่องแบบกลาง ๆ พร้อมด้วยบอดี้เครื่องที่ใช้ทำจากอะลูมิเนียม ทำให้ได้รับความสนใจจากเหล่าสาวกโซนี่และคนทั่วไปเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว

          ล่าสุด โซนี่ได้เตรียมเปิดตัว Xperia P แบบพิเศษ Limited Edition ซึ่งตัวเครื่องผลิตจากทอง 24 กะรัต ที่มีสีทองสวยงามอร่ามตา และจะถูกผลิตออกมาเพียงแค่ 15 เครื่องเท่านั้น!

หรูได้อีก! โซนี่เตรียมเปิดตัว Xperia P สีทอง 24 กะรัต

          อย่างไรก็ตาม ทางโซนี่ยังไม่มีการเปิดเผยราคาและวิธีการจำหน่ายออกมา นอกจากการเตรียมเปิดกิจกรรม Xperia Treasure Hunt บนเพจเฟซบุ๊กของ Sony Mobile ที่ให้เหล่าสาวกตั้งหน้าตั้งตารอคอยกันอย่างตื่นเต้น


อัพเดทแอนดรอยด์ Galaxy Tab 2 7.0, Galaxy Tab 8.9 รุ่น WiFi

        หลังจากปล่อยให้กับแท็บเล็ตตระกูล Nexus ได้ใช้กันไปบ้างแล้วสำหรับแอนดรอยด์ (Android) เวอร์ชั่น 4.1.1 (Jelly Bean) ก็ได้เวลาที่ Galaxy Tab จะได้ใช้กันบ้างแล้ว



          ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทางซัมซุง (Samsung) ได้ปล่อยอัพเดทแอนดรอยด์ 4.1.1 (Jelly Bean) ให้กับ Galaxy Tab 2 7.0 รุ่น WiFi แล้ว นอกจากนี้ ซัมซุงยังได้ปล่อยอัพเดทแอนดรอยด์เวอร์ชั่น 4.0.4 (Ice-cream Sandwich) ให้กับผู้ใช้ Galaxy Tab 8.9 รุ่น WiFi ในประเทศมาเลเซียอีกด้วย แต่ยังไม่มีกำหนดการสำหรับการปล่อยอัพเดทดังกล่าวในประเทศอื่น ๆ

          อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ใช้ Galaxy Tab 8.9 สามารถดาวน์โหลดแอนดรอยด์ 4.0.4 มาอัพเดทด้วยตัวเองได้ แต่ไม่มีการรับประกันว่าตัวอัพเดทดังกล่าวจะสามารถใช้กับ Galaxy Tab 8.9 ของทุกประเทศได้อย่างราบรื่น จึงแนะนำให้รอตัวอัพเดทอย่างเป็นทางการจากซัมซุงกันดีกว่านะจ๊ะ

Sharp Cocorobo หุ่นยนต์ดูดฝุ่นอัจฉริยะสั่งงานผ่านมือถือแอนดรอยด์

  ความทันสมัยของเทคโนโลยียุคนี้ทำให้เราได้เห็นการสร้างสรรค์อุปกรณ์หรือเครื่องมือต่าง ๆ ที่เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกและสามารถทำงานแทนคนได้ ดูอย่างเทคโนโลยีล่าสุดที่ทาง Sharp พัฒนาจากเครื่องดูดฝุ่นธรรมดา ๆ ให้กลายเป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นอัจฉริยะที่สามารถการสั่งงานผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือแอนดรอยด์ได้ เจ้าหุ่นยนต์ดูดฝุ่นตัวนี้มีชื่อว่า Sharp Cocorobo RX-V60 มาพร้อมกับฟังก์ชั่นสุดพิเศษ Cocorobo Navi ทำให้เราสามารถควบคุมหุ่นยนต์ดูดฝุ่นตัวนี้ได้ แม้จะอยู่นอกบ้านก็ตาม 



Sharp Cocorobo 



Sharp Cocorobo 
          สำหรับความสามารถของ Sharp Cocorobo ทาง Sharp ได้พัฒนาแอพพลิเคชั่นที่ว่า Cocorobo Square ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์เอาไว้ควบคุมและสั่งการทำงานหุ่นยนต์ดูดฝุ่นให้ทำความสะอาดบ้านตามที่ต้องการ และที่สำคัญสามารถสั่งการได้กรณีที่อยู่นอกบ้านหรือกำลังเดินช้อปปิงเลือกซื้อสินค้า โดยการทำงานง่าย ๆ เพียงแค่ตั้งค่าแอพพลิเคชั่น ซึ่งจะจำลองห้องหรือบริเวณที่ต้องการทำความสะอาดผ่านระบบ Cocorobo Navi จะระบุรายละเอียดว่ามีเฟอร์นิเจอร์อยู่ตรงส่วนไหนของบ้านหรือห้องบ้าง นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่ารูปแบบการทำความสะอาดได้ นอกจากนี้ยังมีระบบสูญญากาศไฟฟ้าซึ่งสามารถดูดฝุ่นจากช่องว่างในพื้นไม้หรือพื้นที่เล็ก ๆ ระหว่างขาของเก้าอี้ห้องรับประทานอาหาร และเมื่อทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยเจ้าหุ่นยนต์ Cocorobo ก็จะส่งภาพถ่ายโชว์ผลงานการทำความสะอาดให้เราดูได้อีกด้วย 





           ทั้งนี้ หุ่นยนต์ดูดฝุ่น Cocorobo RX-V60 จะถูกวางจำหน่ายที่ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 13 ธันวาคมนี้ โดยราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ 75,000 เยนหรือประมาณ 28,000 บาท โดยทาง Sharp จะผลิต 8,000 เครื่องต่อเดือน

10 เคสเก๋ ๆ หลากหลายสไตล์สำหรับ Nexus 7

   นับตั้งแต่แท็บเล็ต Nexus 7 ของกูเกิล (Google) ได้วางจำหน่ายไปแล้วเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยสเปค ดีไซน์ และราคาที่เหมาะสม ทำให้มีผู้คนให้ความสนใจกันอย่างมากมาย และวันนี้เราก็มีเคสสวย ๆ หลากหลายสไตล์มาแนะนำให้เลือกไปใส่กับเจ้า Nexus 7 ตัวโปรดของคุณกันครับ

 1. Vera Bradley Cover In Va Va Bloom

          เคสลวดลายดอกไม้หวานแหวว สีสันสดใส เหมาะสำหรับคุณผู้หญิง (หรือผู้ชายอ่อนหวานก็ใช้ได้นะ) ผลิตจากผ้าฝ้าย ผิวเนียนนุ่ม ราคา $39 (ประมาณ 1,200 บาท)

10 เคสเก๋ ๆ หลากหลายสไตล์สำหรับ Nexus 7

2. CaseCrown Nexus 7 Bold Standby Case

          เคสที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับ Nexus 7 โดยเฉพาะ ผลิตจากหนังเทียม พร้อมแผ่นแม่เหล็กสำหรับปิดและสามารถทำเป็นขาตั้งได้ มีให้เลือกหลายสี ราคา $30.95 (ประมาณ 950 บาท)

10 เคสเก๋ ๆ หลากหลายสไตล์สำหรับ Nexus 7

 3. ReAuthored Nexus 7 Case
          เคสที่ทำด้วยมือจากการนำหนังสือปกแข็งมารีไซเคิลโดยการตัดให้เป็นช่องสำหรับใส่แท็บเล็ตได้ และเก็บหน้าหนังสือเดิมไว้บางหน้าให้พลิกเล่นได้ ไอเดียเก๋ไม่ใช่น้อยเลยล่ะ ราคา $59 (ประมาณ 1,800 บาท)

10 เคสเก๋ ๆ หลากหลายสไตล์สำหรับ Nexus 7

 4. Roocase Ultra-Slim Vegan Leather Folio Case Cover

          เคสที่สามารถตั้ง Nexus 7 ของคุณได้ 2 ระดับ ทั้ง 45 องศาสำหรับการดูหรืออ่าน และ 25 องศาสำหรับการพิมพ์ โดยมีแผ่นแม่เหล็กสำหรับปิด รวมทั้งเว้นช่องสำหรับสไตลัสและช่องต่อต่าง ๆ ราคา $24.99 (ประมาณ 750 บาท)

10 เคสเก๋ ๆ หลากหลายสไตล์สำหรับ Nexus 7

 5. LightWedge Verso Artist Series, Swedish Wonder Stand-Up Cover

          เคสที่ออกแบบโดยกลุ่มศิลปิน Sisters Gulassa เป็นหน้าปกที่นำเสนอคำคม คติ และข้อคิดดี ๆ ลงไป ราคา $39.99 (ประมาณ 1,200 บาท)

10 เคสเก๋ ๆ หลากหลายสไตล์สำหรับ Nexus 7

 6. BodyGuardz Nexus 7 Carbon Fiber Armor

          เคสที่ผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ พื้นผิวเป็นลวดลายเท็กซ์เจอร์ ซึ่งมีน้ำหนักเบา แต่ทนทาน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเคสที่ทนทานแต่น้ำหนักไม่มาก ราคา $29.95 (ประมาณ 900 บาท)

10 เคสเก๋ ๆ หลากหลายสไตล์สำหรับ Nexus 7

 7. DODOcase Hardcover

          เคสที่มีลักษณะเหมือนหนังสือปกแข็ง ทำด้วยมือจากบริษัทผลิตปกหนังสือในซานฟรานซิสโก และมีแม่เหล็กฝังอยู่ในปกสำหรับการเปิด/ปิดที่สะดวก ราคา $34.95 (ประมาณ1,050 บาท)

10 เคสเก๋ ๆ หลากหลายสไตล์สำหรับ Nexus 7

 8. M-Edge Incline Case

          เคสที่สามารถวางตั้งได้ 3 ระดับในแบบแนวนอน ภายนอกผลิตจากหนังแบบไมโครไฟเบอร์ และภายในผลิตจากเนื้อผ้าผิวนุ่ม ราคา $39.99 (ประมาณ 1,200 บาท)

10 เคสเก๋ ๆ หลากหลายสไตล์สำหรับ Nexus 7

 9. BelviDesigns Nexus 7 Case

          เคสจาก BelviDesigns ผลิตจากผ้า ที่ออกแบบมาสำหรับ Nexus 7 โดยเฉพาะ มีลวดลายสวยงามหลากหลายสไตล์ให้เลือก ราคา $36 (ประมาณ 1,100 บาท)

10 เคสเก๋ ๆ หลากหลายสไตล์สำหรับ Nexus 7

 10. Incipio Feather Ultralight Hard Shell Case

          เคสแบบคลาสสิก =>คแข็งแรงทนทาน ผลิตจากเพล็กซ์โตเนียมที่มีความหนาแน่นสูง ถูกออกแบบสำหรับ Nexus 7 โดยเฉพาะ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเคสที่แข็งแรงทนทาน แต่ไม่เน้นลวดลาย มีให้เลือกทั้งสีดำ, เทา, ฟ้า และชมพู ราคา $34.99 (ประมาณ 1,050 บาท)

10 เคสเก๋ ๆ หลากหลายสไตล์สำหรับ Nexus 7

          เป็นยังไงกันบ้างครับ สำหรับเคสดีไซน์เก๋ ๆ ทั้ง 10 แบบ เห็นแล้วอยากได้เลยใช่ไหมล่ะ แต่สำหรับใครที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าของ Nexus 7 และอยากรู้ว่ามันมีอะไรดีบ้าง 

ซัมซุงเผยคลิปวิดีโอทดสอบสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ก่อนออกสู่ตลาด

 เบื้องหลังความสำเร็จของสมาร์ทโฟนแต่ละรุ่นกว่าจะออกสู่ตลาดได้ต้องผ่านขั้นตอนและกระบวนการทดสอบมากมาย และน้อยคนที่จะได้รู้ว่ากระบวนการทดสอบแต่ละขั้นตอนนั้นมีอะไรบ้าง ล่าสุดซัมซุง ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ได้เปิดเผยคลิปวิดีโอขั้นตอนการทดสอบสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รุ่นเรือธงของตัวเองด้านฮาร์ดแวร์ด้วยวิธีการต่าง ๆ และนี่ถือเป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นการทดสอบมือถือของซัมซุง




          สำหรับการทดสอบภายในวิดีโอที่จะได้เห็น จะแบ่งออกเป็นขั้นตอนต่าง ๆ มากมาย โดยทางซัมซุงจะทำการจำลองรูปแบบการทดสอบขึ้นมาด้วยเครื่องทดสอบรูปแบบต่าง ๆ เช่น การทดสอบกดปุ่ม Home ทั้งหมด 200,000 ครั้งแบบอย่างต่อเนื่องด้วยเครื่องทดสอบ, การทดสอบนั่งทับโทรศัพท์ด้วยน้ำหนัก 100 กิโลกรัมเพื่อทดสอบแรงกดทับ, การทดสอบการบิดงอของตัวเครื่อง การทดสอบการกระแทก และการทดสอบกันรอยขีดข่วน ทดสอบการกันน้ำฝน และอื่น ๆ อีกมากมาย สามารถชมได้จากคลิปวิดีโอด้านล่าง 





          อย่างไรก็ดี การทดสอบมือถือด้วยวิธีการเหล่านี้ถึงแม้ผู้ผลิตมือถือจะไม่ได้เปิดเผยข้อมูลการทดสอบออกมาทั้งหมด แต่ในปัจจุบันก็ได้มีหลายเว็บไซต์ที่ทำเกี่ยวกับมือถือได้ทำการทดสอบด้วยวิธีการตัวเอง และที่นิยมกันมากก็คือวิธีการทำตกจากพื้นจากระดับความสูงที่ต่างกัน เรียกวิธีการนี้ว่า Drop Test นั่นเอง ซึ่งสามารถหาดูคลิปการทดสอบเหล่านี้ได้จากเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม 

HTC One X ทั่วไทยอัพเดท Jelly Bean ได้แล้ววันนี้

HTC ประเทศไทยได้ปล่อยอัพเดทของแอนดรอยด์ 4.1.1 Jelly Bean ให้ผู้ใช้ One X ได้อัพเดทกันแล้ว



          เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ทาง HTC ประเทศไทย ได้ปล่อยอัพเดทแอนดรอยด์เวอร์ชั่น 4.1.1 (Jelly Bean) และ HTC Sense 4+ สำหรับสมาร์ทโฟนรุ่น One X โดยในเวอร์ชั่นใหม่นี้ได้มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมฟีเจอร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนรูปแบบเมนูและอินเทอร์เฟซต่าง ๆ แกลอรี่, กล้อง, คีย์บอร์ด รวมทั้งเพิ่มโหมดประหยัดพลังงาน

          ทั้งนี้ ทาง HTC ได้แนะนำว่าควรใช้การเชื่อมต่อแบบ Wi-Fi ในการอัพเดท และรีสตาร์ทเครื่องครั้งหนึ่งหลังการอัพเดทครับ

งานเข้า! Nexus 4 พบปัญหากระจกหลังร้าว คาดเกิดจากอุณหภูมิเปลี่ยน

 Nexus 4 ถูกพบว่ามีปัญหากระจกด้านหลังเครื่องร้าว ซึ่งคาดว่าอาจเกิดจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง



          เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แหล่งข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า มีการพบปัญของสมาร์ทโฟน LG รุ่น Nexus 4 ซึ่งพบว่ากระจกด้านหลังเครื่องเกิดอาการร้าวเองหลังจากซื้อเครื่องมาได้เพียงแค่ 2 สัปดาห์นั้นและยังไม่มีการทำตกหรือได้รับการกระทบกระเทือนใด ๆ เลยนอกจากนี้ ยังพบปัญหาเช่นเดียวกันกับรุ่น Optimus G อีกด้วย โดยยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่คาดว่าอาจเกิดจากอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิของมือผู้ใช้ 
          ทั้งนี้ ยังไม่มีการยืนยันว่าเครื่องที่พบปัญหาดังกล่าวถูกใช้งานอยู่ในประเทศใด และมีอุณหภูมิอย่างไร ถ้าหากมีข่าวหรือความคืบหน้าอย่างไร เราจะมารายงานให้ทราบทันทีครับ

Google Play ถูกรวมเข้ากับ Google+ แล้ว

 หลังจากกูเกิล (Google) ได้เปิดให้บริการโซเชียลเน็ตเวิร์ค Google+ มาเป็นเวลาปีกว่า ทางกูเกิลก็ได้รวมบริการต่าง ๆ เข้ากับ Google+ เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น Gmail, Gtalk, Youtube ฯลฯ และล่าสุด กูเกิลก็ได้รวม Google Play เข้ากับ Google+ แล้ว

          เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กูเกิลได้รวม Google Play เข้ากับแอคเคาท์ของ Google+ ส่งผลให้การโพสต์รีวิวแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ใน Google Play จะแสดงชื่อและรูปภาพของผู้รีวิวจาก Google+  แต่ฟังก์ชั่นดังกล่าวจะมีผลกับรีวิวที่โพสต์หลังจากนี้เท่านั้น ส่วนรีวิวที่โพสต์ไว้ก่อนหน้านี้จะถูกแสดงในชื่อ "A Google User" ทั้งหมด


Chrome แอนดรอยด์จะเร่งอัพเดทให้ทัน PC ต้นปีหน้า

  Chrome เป็นแอพพลิเคชั่นว็บบราวเซอร์จากกูเกิล (Google) ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ Chrome ของแอนดรอยด์นั้นได้อัพเดทไปถึงเวอร์ชั่น 18 เท่านั้น ในขณะที่ของ PC นั้นไปถึงเวอร์ชั่น 23 แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความล้าหลังของเวอร์ชั่นแอนดรอยด์พอสมควร



          ล่าสุด ได้มีผู้ส่งคำถามไปยังกูเกิล ว่าเมื่อไหร่ Chrome ของแอนดรอยด์จะอัพเดทเท่าของ PC โดยทางกูเกิลได้ให้คำตอบมาว่า ในช่วงต้นปี 2556 จะมีการเร่งทยอยอัพเดท Chrome ของทุกแพลตฟอร์มให้เท่าเทียมกันทั้งหมด รวมของทั้งแอนดรอยด์ด้วย

          อย่างไรก็ตาม การอัพเดทของ Chrome ในแต่ละเวอร์ชั่นนั้นอาจไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด แต่จะเป็นการอัพเดทเพื่อปรับปรุงตัวแอพฯ ให้มีประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น รวมทั้งแก้ไขบัคต่าง ๆ ให้น้อยลงนั่นเอง

เหตุผลที่ทำให้ Google/Android อยู่เหนือ Apple/iOS

    หากพูดถึงจำนวนของผู้ที่ใช้งานระบบปฏิบัติการระหว่างแอนดรอยด์ (Android) ของกูเกิล (Google) และไอโอเอส (iOS) ของแอปเปิล (Apple) แล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่าจำนวนผู้ใช้แอนดรอยด์นั้นได้แซงหน้า iOS ไปมากแล้ว ชนิดที่เรียกว่าไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว


          ล่าสุด ได้มีการเปิดเผยสัดส่วนทางการตลาดในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ออกมา พบว่าแอนดรอยด์มีส่วนแบ่งการตลาดที่สูงถึง 72.4% ส่วน iOS นั้นมีส่วนแบ่งเพียง 13.9% เท่านั้น นับว่าเป็นตัวเลขที่ห่างกันไกลมาก ๆ แต่จะมีใครทราบบ้างว่าเพราะเหตุใด กูเกิลถึงแซงหน้าแอปเปิลไปได้ขนาดนั้น นาย Simon Hill จากเว็บไซต์ androidauthority.com จึงได้ทำการวิเคราะห์เรื่องนี้ขึ้นมาให้พวกเราได้อ่านกันเป็นบทความตามด้านล่างนี้ครับ

          หากพิจารณาในด้านการให้บริการทางด้านออนไลน์และเว็บแล้ว ทางด้านของกูเกิลนั้นมีบริการต่าง ๆ ที่ครบถ้วนและเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็น Gmail, Google Docs (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Google Drive), Google Maps, Google Music, Google+, Youtube หรือ Chrome ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนถูกเชื่อมต่อกันหมดผ่าน Google Account และรวมตัวเข้ากับแอนดรอยด์ ทำให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวกสบายในการใช้งาน อีกทั้งยังมีระบบที่มีเสถียรภาพสูง ถึงแม้ผู้ใช้จะไม่ค่อยมีความรู้ด้านเทคโนโลยีก็สามารถใช้งานได้อย่างไร้ปัญหาใด ๆ

         แต่เมื่อเทียบกับบริการของด้านแอปเปิลแล้ว ทางแอปเปิลมีบริการที่ไม่มีประสิทธิภาพดีเท่าของกูเกิล ไม่ว่าจะเป็น iTunes, iCloud, MobileMe, Facetime หรือ Safari ซึ่งล้วนมีปัญหาและข้อผิดพลาดต่างจากทั้งตัวโปรแกรมและระบบ ที่ทำให้เกิดปัญหากับผู้ใช้อยู่บ่อยครั้ง รวมทั้งบริการแผนที่อย่าง Apple Maps หรือบริการโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่าง Ping ที่แอปเปิลพยายามสร้างมาแข่งขันกับคู่แข่ง แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นแต่อย่างใด จึงเป็นสาเหตุให้เหล่าผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่ต้องการใช้บริการเหล่านี้เป็นหลัก เลือกที่จะใช้แอนดรอยด์กันมากกว่า iOS

          ทีนี้มาลองดูกันในด้านของการออกแบบซอฟต์แวร์บ้าง iOS ได้ถือกำเนิดมาก่อนแอนดรอยด์ โดยมาพร้อมกันกับ iPhone กับ iPod touch ในปี 2007 และได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ส่วนแอนดรอยด์นั้นมาพร้อมกับสมาร์ทโฟนครั้งแรกในปี 2008 โดยในช่วงแรก ๆ นั้นแอนดรอยด์ยังไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร เนื่องจากยังเป็นระบบใหม่ และยังพัฒนาออกมาได้ไม่ค่อยดีนัก แต่หลังจากนั้นกูเกิลก็พยายามพัฒนาปรับปรุงให้แอนดรอยด์มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่างกับแอปเปิลที่ไม่ค่อยกระตือรือร้นที่จะพัฒนา iOS สักเท่าไหร่ จากแนวคิดที่ว่า "ถ้ามันไม่ได้มีปัญหาอะไร เราก็ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน" หรือเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือกูเกิลนั้นวิ่งไปข้างหน้าอยู่ตลอด แต่แอปเปิลนั้นคลานอยู่กับที่นั่นเอง ทำให้แอนดรอยด์ในปัจจุบันนั้นมีประสิทธิภาพที่มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งด้านอินเทอร์เฟซและการใช้งาน แต่ iOS กลับคงรูปแบบเดิม ๆ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไหร่

         ในส่วนของด้านฮาร์ดแวร์ ทางกูเกิลได้เปรียบกว่าแอปเปิลค่อนข้างมาก เนื่องจากมีบริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ผลิตอุปกรณ์ที่ใช้แอนดรอยด์ออกมาหลากหลายยี่ห้อ หลากหลายรุ่น หลากหลายดีไซน์ ต่างกับแอปเปิลที่เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ที่ใช้ iOS แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งจากการที่มีอุปกรณ์แอนดรอยด์ออกมาหลากหลายนั้น ส่งผลให้มีโอกาสเจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าได้มากขึ้น เนื่องจากผู้ใช้แอนดรอยด์มีสิทธิที่จะเลือกซื้ออุปกรณ์รุ่นที่ตัวเองต้องการได้ตามใจชอบ ต่างกับผู้ใช้ iOS ที่มีตัวเลือกเพียงอุปกรณ์ของแอปเปิลที่มีออกมาเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้น

          อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ากูเกิลจะมีส่วนแบ่งการตลาดที่สูงกว่าแอปเปิลอยู่มาก แต่แอปเปิลนั้นมีกำไรสูงมากกว่ากูเกิล เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่าทั้งสองบริษัทใช้กลยุทธ์ที่ต่างกัน โดยกูเกิลเน้นการทำส่วนแบ่งการตลาดให้สูง และเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าจำนวนมาก ส่วนแอปเปิลไม่ได้เน้นจำนวนลูกค้า แต่มุ่งเน้นการจัดสรรทรรพยากรการลงทุนด้านซอฟต์และแวร์ฮาร์ดแวร์มากกว่า ส่งผลให้สามารถทำกำไรได้มากกว่ากูเกิลที่ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้เท่าไหร่นัก

           นอกจากนี้ ยังมีการพบว่าการเติบโตอย่างรวดเร็วของแอนดรอยด์นั้น ส่วนหนึ่งได้มาจากฐานลูกค้าของ BlackBerry และ Nokia ด้วย เพราะในระยะหลัง ๆ ทั้งสองแบรนด์เริ่มได้รับความนิยมลดลงไปมาก เนื่องจากลูกค้าหันมาใช้แอนดรอยด์กันแทน โดยในตอนนี้ยังเหลือที่ว่างที่เป็นโอกาสให้แอนดรอยด์และ iOS สามารถขยายตลาดได้ออกไปอีก และในอนาคตเมื่อตลาดถึงจุดอิ่มตัวแล้ว นั่นไม่ได้หมายความว่าการเจริญเติบโตของแอนดรอยด์จะหยุดนิ่ง เพราะอาจมีผู้ใช้ iOS เปลี่ยนใจหันมาใช้แอนดรอยด์กันแทนก็เป็นได้ ถึงแม้แอปเปิลจะมีบรรดาสาวกอยู่เหนียวแน่นก็ตาม แต่ถ้าหากแอปเปิลยังคงคลานอยู่กับที่ ในขณะที่กูเกิลนั้นพยายามวิ่งเร็วต่อไปเรื่อย ๆ ก็อาจทำให้เหล่าสาวกเกิดอาการไขว้เขวได้เหมือนกัน...

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

iPad Mini 2 จอ retina เริ่มผลิตปีนี้


 แหล่งข่าวในจีนเผย iPad Mini อาจจะขาดตลาดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม พันธมิตรผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ของ Apple ในจีนได้เตรียม iPad Mini 2 เวอร์ชันที่มาพร้อมกับจอ Retina Display ไว้แล้ว โดย AU Optronics ซัพพลายเออร์จอสัมผัสความละเอียด 1024 x 768 พิกเซลที่ใช้กับ iPad Mini รุ่นปัจจุบัน คาดว่า จะสามารถผลิตจอความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซลขนาด 7.9 นิ้ว (324 ppi) ได้ภายในครึ่งหลังของปี 2013
ก่อนหน้านี้ Apple อาจจะทำให้ผู้บริโภคทั่วโลกต้องผิดหวังกับการเปิดตัว iPad Mini ด้วยจอแสดงผลที่ไม่ใช่ Retina Display อย่างไรก็ตาม จอแสดงผลของ iPad Mini ก็ยังคงได้รับการยอมรับว่า มันเป็นจอแสดงผลที่ดีมากแล้วสำหรับแท็บเล็ตขนาดเล็ก อีกทั้ง Apple ยังมองว่า การเลือกใช้ความละเอียดเท่ากับ iPad รุ่นแรก จะทำให้แอพต่างๆ สามาถทำงานได้โดยไร้ปัญหาบน iPad Mini อีกด้วย ซึ่งสำหรับรายงานข่าวที่ว่า Apple มีความพยายามที่จะใช้จอ Retina Display กับ iPad Mini ไม่ได้น่าประหลาดใจสักเท่าไรแม้ว่า ในทางเทคนิคมันอาจจะมีอุปสรรคบางอย่างอยู่บ้าง แต่ผลลัพธ์ที่ได้น่าจะทำให้ผู้บริโภคพอใจมาก โดยมันสามารถเพิ่มความละเอียดจาก 1024 x 768 พิกเซลเป็น 2048 x 1536 พิกเซล (324 ppi) อีกทั้งยังทำให้ iPad Mini สามารถเอาชนะคู่แข่งอย่าง Nexus 7 และ Kindle Fire HD ที่ปัจจุบันมีความละเอียดของจอภาพสูงกว่าคือ 1280 x 800 พิกเซล
สำหรับคำตอบในเรื่องนี้ ทาง AUO บริษัทผู้ผลิตจอแสดงผลให้กับ iPad Mini 2 ได้เลือกใช้เทคโนโลยี IGZO ของ Sharp โดยจะทำให้ได้จอแสดงผลที่บางลงกว่าเดิมในขณะที่ให้รายละเอียดของสีสันได้ไม่แพ้จอ LCD ที่มีความหนาได้ แถมยังประหยัดแบตเตอรี่อีกด้วย ซึ่งแน่นอนเรื่องของความละเอียดของจอที่ได้จะเป็นความท้าทายของการผลิตจอดังกล่าว อีกทั้งยังต้องระวังเรื่องปัญหาแสงรั่วอีกด้วย ในส่วนของการคาดการณ์ว่า เราจะได้เป็นเจ้าของ iPad Mini 2 เมื่อไร? แหล่งข่าวอ้างว่า Apple จะเริ่มผลิตจอ retina สำหรับ iPad Mini 2 ภายในเดือนหน้า และจะวางตลาดในช่วงครึ่งหลังของปี 2013

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

iPhone 5 vs Samsung Galaxy S3 mini


iPhone 5 vs Samsung Galaxy S III (3) mini : เทียบสเปค iPhone 5 และ Samsung Galaxy S III mini เมื่อรุ่นใหญ่ ปะทะรุ่นเล็ก
ข่าวเด่นวันนี้ - เรียกได้ว่า ในช่วงนี้ Samsung เปิดตัวผลิตภัณฑ์มากมายหลายรุ่นเลยทีเดียวครับ ทั้งสมาร์ทโฟนแท็บเล็ต ไปจนถึงกล้องถ่ายรูป ที่มีสเปค และระดับราคาที่แตกต่างกันไป โดยสมาร์ทโฟนที่เปิดตัวรุ่นล่าสุดนั้นก็คือSamsung Galaxy S III (S3) mini นั่นเองครับ
สำหรับความน่าสนใจของ Samsung Galaxy S III Mini นั้น นอกจากจะอยู่ที่สเปคแล้ว ยังอยู่ที่ชื่อนำหน้าว่า Galaxy S III ซึ่งเป็นเรือธงของ Samsung นั่นเอง แต่เมื่อมีคำว่า mini มาต่อท้าย นั่นหมายความว่า จะต้องมีอะไรบางอย่างที่เป็นรอง Samsung Galaxy S III อยู่บ้าง นั่นก็คือ สเปค และขนาดนั่นเองครับ ในขณะที่การออกแบบ Samsung Galaxy S3 mini นั้น มีความคล้ายกับ Samsung Galaxy S III (S 3) บ้างเช่นกัน
เมื่อไม่นานมานี้ มีสมาชิกท่านหนึ่งในเว็บไซต์ techmoblog ได้สอบถามตารางเปรียบเทียบ Samsung Galaxy S III Mini กับ iPhone 5 (ไอโฟน 5) ครับ ซึ่งท่านที่พอจะทราบรายละเอียดสเปคของ Samsung Galaxy S III Mini มาบ้างแล้ว คงจะกล่าวได้เลยทันทีว่า ทั้ง 2 รุ่นนี้ เป็นมวยคนละชั้น เปรียบเทียบกันไม่ได้อย่างแน่นอน แต่ก่อนที่จะเข้าบทสรุป มาดูสเปคเปรียบเทียบ ระหว่าง Samsung Galaxy S III Mini และ iPhone 5 กันก่อนครับ
ถ้าหากอ้างอิงจากสเปค Samsung Galaxy S III Mini ที่เผยออกมาตามตารางด้านบน จะเห็นได้ว่า Samsung Galaxy S III Mini มีความแตกต่างจาก Samsung Galaxy S III มากพอสมควรครับ โดยขนาดหน้าจอเหลือเพียงแค่ 4 นิ้ว จากเดิม 4.8 นิ้วบน Samsung Galaxy S III แต่เมื่อเทียบกับ iPhone 5 แล้ว ถือว่า ขนาดหน้าจอเท่ากันที่ 4 นิ้วครับ แต่ความละเอียดบนหน้าจอ ถือว่า iPhone 5 ละเอียดกว่ามากทีเดียว

นอกจากนี้ สเปคบางอย่างบน Samsung Galaxy S III Mini ยังด้อยกว่า iPhone 5 ครับ เช่น ความละเอียดของกล้องด้านหน้า และด้านหลัง โดยกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy S III mini มีความละเอียดอยู่ที่ 5 ล้านพิกเซล ในขณะที่ iPhone 5 มีความละเอียดที่ 8 ล้านพิกเซล และรองรับเครือข่าย 4G อีกด้วย อย่างไรก็ดี Samsung Galaxy S III mini นั้น สามารถรองรับเทคโนโลยี NFC และเพิ่มหน่วยความจำภายในตัวเครื่องด้วย microSD card ได้ ซึ่ง iPhone 5 ขาดคุณสมบัติในส่วนนี้ไปครับ

เมื่อพิจารณาจากสเปคของทั้ง 2 รุ่นจากตารางด้านบนแล้ว พบว่า Samsung Galaxy S III Mini นั้น ถูกกำหนดให้เป็นสมาร์ทโฟนระดับกลางเสียมากกว่า และสเปคยังห่างจาก iPhone 5 มากพอสมควร ซึ่งดูแล้ว ไม่น่าจะเป็นคู่แข่งกันได้โดยตรง อย่างไรก็ดี ความน่าสนใจของ Samsung Galaxy S III mini นั้น อยู่ที่ราคาครับ เพราะยังไม่มีการประกาศราคาอย่างเป็นทางการจาก Samsung ออกมา อีกทั้งราคาจำหน่ายในแต่ละประเทศ ก็มีความแตกต่างกันด้วย ต้องรอดูกันต่อไปครับ
ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ: Techmoblog

OPPO Find Gemini Plus สมาร์ทโฟน 2 ซิมการ์ด


OPPO Find Gemini Plus สมาร์ทโฟน 2 ซิมการ์ด ครบครันทุกการใช้งาน ในราคาไม่ถึงหมื่น
[20-ตุลาคม-2555] เรียกได้ว่า ชื่อของ OPPO ในตลาดสมาร์ทโฟนบ้านเรา คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อนี้แล้วครับ เพราะ OPPO นั้น ได้เข้าสู่ตลาดสมาร์ทโฟนอย่างเต็มตัวแล้ว นับตั้งแต่การเปิดตัว OPPO Find 3 และ OPPO Finder รวมไปถึงการเปิดตัวสมาร์ทโฟน 2 ซิมอย่าง OPPO Find Guitar, OPPO Find Gemini และล่าสุด OPPO Find Gemini Plus ซึ่งเป็นรุ่นปรับปรุงของ OPPO Find Gemini นั่นเองครับ
สำหรับ OPPO Find Gemini Plus นั้น มีการออกแบบที่เหมือนกับ OPPO Find Gemini ครับ แต่สิ่งที่แตกต่างไปก็คือ OPPO Find Gemini Plus จะมีการปรับสเปคให้ดีกว่า OPPO Find Gemini เล็กน้อย นั่นก็คือ ใช้ซีพียูแบบ Dual-core Processor และระบบปฏิบัติการ Android 4.0.4 Ice Cream Sandwich ถ้าหากพูดถึงความลื่นไหลในการใช้งานแล้ว OPPO Find Gemini Plus ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัดครับ ก่อนจะเข้าสู่บทความรีวิว OPPO Find Gemini Plus มาดูสเปคของ OPPO Find Gemini Plus กันก่อนครับ
สเปค OPPO Find Gemini Plus เป็นดังนี้
- หน้าจอขนาด 4 นิ้ว แบบ IPS LCD Capacitive Touchscreen ความละเอียด 480 x 800 พิกเซล
- ซีพียูแบบ Dual-core ARM Cortex-A9 (MediaTek MT6577) processor ความเร็ว 1GHz
- RAM ขนาด 512MB
- ระบบปฏิบัติการ Android 4.0.4 Ice Cream Sandwich
- หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 4GB สามารถเพิ่มหน่วยความจำได้ด้วย microSD card สูงสุด 32GB
- กล้องด้านหน้า ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
- กล้องด้านหลัง ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash และหมวดถ่ายภาพแบบ LOMO
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 b/g/n, Bluetooth เวอร์ชั่น 2.1, GPS (A-GPS) และเครือข่าย 3G
- สามารถใช้งานเครือข่าย 3G ได้ทั้ง 2 ซิมการ์ด
- น้ำหนัก 133 กรัม
OPPO Find Gemini Plus : การออกแบบ
อย่างที่เกริ่นไปแล้วในตอนต้นครับว่า OPPO Find Gemini Plus มีการออกแบบที่เหมือนกับ OPPO Find Gemini ทั้งด้านหน้า และด้านหลังตัวเครื่อง โดยมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 4 นิ้ว แบบ IPS ที่ไม่เล็ก และไม่ใหญ่จนเกินไป จับได้ถนัดมือครับ ส่วนขอบตัวเครื่องเป็นโครเมี่ยม
ส่วนด้านหลังตัวเครื่อง เป็นพลาสติกผิวเรียบลื่น แต่ดูแข็งแรงครับ
ด้านบนของจอแสดงผล ประกอบด้วย กล้องด้านหน้า ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล, เซนเซอร์ และลำโพงสำหรับสนทนาขนาดใหญ่
ส่วนด้านล่างของจอแสดงผล เป็นปุ่มควบคุมการใช้งานแบบสัมผัสครับ มีทั้งหมด 3 ปุ่มด้วยกัน (จากซ้ายไปขวา) ซึ่งได้แก่ ปุ่มเมนู, ปุ่ม Home และปุ่ม Back โดยจะมีไฟสว่างขึ้นเมื่อสัมผัสบนหน้าจอ ซึ่งระยะเวลาของไฟนี้ สามารถเข้าไปตั้งค่าได้ที่เมนู Settings
ด้านบนของตัวเครื่อง เป็นช่องหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตร
ด้านล่างตัวเครื่อง ประกอบด้วย พอร์ต microUSB สำหรับชาร์ตแบตเตอรี่ หรือเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อถ่ายโอนข้อมูล, ไมโครโฟน และร่องสำหรับแกะฝาหลังครับ ซึ่งตรงนี้จะแตกต่างจาก OPPO Find Gemini ตรงที่ ร่องสำหรับแกะฝาหลัง จะอยู่ด้านบน
ด้านซ้ายของตัวเครื่อง เป็นปุ่มสำหรับเปิด-ปิด-ล็อคเครื่อง
ส่วนด้านขวาของตัวเครื่อง มีทั้งหมด 2 ปุ่มด้วยกัน นั่นก็คือ ปุ่มเพิ่มเสียง และลดเสียงครับ
เมื่อพลิกไปด้านหลัง จะพบกับกล้องดิจิตอลความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ LED
และลำโพงดีไซน์แปลกตาครับ
เมื่อแกะฝาหลัง จะพบกับ แบตเตอรี่ขนาด 1710 mAh, ช่องใส่ซิมการ์ด และช่องสำหรับ microSD card
ซิมการ์ด เป็นขนาดมาตรฐานครับ ใส่ได้ทั้งหมด 2 ซิมการ์ดด้วยกัน ซึ่งการถอดเปลี่ยนซิมการ์ดนั้น จะต้องถอดแบตเตอรี่ออกเสียก่อน ส่วนด้านซ้ายมือนั้น เป็นช่องสำหรับ microSD card ครับ
อุปกรณ์ภายในกล่อง OPPO Find Gemini Plus ประกอบไปด้วย คู่มือการใช้งาน, แท่นชาร์ตแบตเตอรี่แบบ Wall charge, สาย data สำหรับเชื่อมต่อกับแท่นชาร์ตแบตเตอรี่ และเชื่อมต่อระหว่างตัวเครื่องกับคอมพิวเตอร์, หูฟัง และแบตเตอรี่ (ไม่ใช่แบตเตอรี่สำรองนะครับ)
ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ: techmoblog

Samsung Galaxy Note II (Galaxy Note 2) Video Review


Galaxy Note 2 - สวัสดีท่านผู้ชมเว็บไซต์ไทยโมบายเซ็นเตอร์ทุกท่านครับ สำหรับโทรศัพท์มือถือที่เรานำมารีวิวให้ชมกันในวันนี้ก็ได้แก่ Samsung Galaxy Note II (Samsung Galaxy Note 2) ซึ่งถือว่าเป็น สมาร์ทโฟน รุ่นเรือธงจากค่าย ซัมซุง ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2012 ด้วยคุณสมบัติ และความสามารถที่ใส่มาให้อย่างเต็มที่ในทุกด้าน
เรียกได้ว่า Samsung Galaxy Note รุ่นแรก หรือ Samsung Galaxy S III (Galaxy S3) มีความโดดเด่นอย่างไรGalaxy Note II นั้นมีความโดดเด่นที่ยิ่งกว่า โดยขณะนี้ Galaxy Note II ได้วางจำหน่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กับราคาขายที่ 22,900 บาท จะคุ้มค่าตัวขนาดไหน ลองมาติดตามกันดูครับ

Samsung Galaxy Note II (Samsung Galaxy Note 2) Video Review & Focus
วิดีโอรีวิว Samsung Galaxy Note II (Samsung Galaxy Note 2) ตอนที่ 1เนื้อหา วิดีโอรีวิว Samsung Galaxy Note II (Samsung Galaxy Note 2) ตอนที่ 1
- แนะนำเบื้องต้น
- รูปลักษณ์ภายนอก และการออกแบบดีไซน์
- องค์ประกอบภายนอกตัวเครื่อง
- ปากกา S Pen Stylus
- การเปิดฝาหลัง และองค์ประกอบที่ด้านใน
- เสารับ-ส่งสัญญาณ NFC
- ความเร็วในการบูทเครื่อง
- ข้อมูลพื้นฐานของตัวเครื่อง
- ส่วนติดต่อผู้ใช้
- แถบแสดงสถานะ
วิดีโอรีวิว Samsung Galaxy Note II (Samsung Galaxy Note 2) ตอนที่ 2
วิดีโอรีวิว Samsung Galaxy Note II (Samsung Galaxy Note 2) ตอนที่ 2
เนื้อหา วิดีโอรีวิว Samsung Galaxy Note II (Samsung Galaxy Note 2) ตอนที่ 2
- ปุ่มฟังก์ชัน, ปุ่มโฮม และหน้าเมนูหลัก
- การสร้างโฟลเดอร์
- ทางลัดสำหรับเข้าใช้งานฟังก์ชันพื้นฐาน
- ภาพรวมของหน้า Home Screen
- การเรียกใช้งานฟังก์ชันสำหรับปากกา S Pen อย่างรวดเร็ว
- ฟังก์ชัน S Voice
- แกลอรี่แบบ 3 มิติ
- การสร้างอัลบั้มใหม่
- ฟังก์ชัน Air View
- โปรแกรมเครื่องเล่นวิดีโอ
- ฟังก์ชัน Popup Play
- ฟังก์ชัน Popup Note
- โปรแกรม Gmail
- ฟังก์ชันสำหรับการใช้งานด้วยมือข้างเดียว
วิดีโอรีวิว Samsung Galaxy Note II (Samsung Galaxy Note 2) ตอนที่ 3
เนื้อหา วิดีโอรีวิว Samsung Galaxy Note II (Samsung Galaxy Note 2) ตอนที่ 3
- ฟังก์ชัน Quick Command
- ฟังก์ชัน Quick Glance
- การเลือกพื้นที่เพื่อการจับภาพหน้าจอ
- การบันทึกนัดหมายในปฏิทินด้วยลายมือ
- ฟังก์ชัน Idea Sketch
- ฟังก์ชันการดูดสี
- การกดปุ่มเพื่อเปลี่ยนสไตล์ของปากกาอย่างรวดเร็ว
- ฟังก์ชัน S Pen Keeper
- เทมเพลตสำหรับโปรแกรม S Note
- ฟังก์ชัน Shape Match และ Formala Match
- ลายเส้นของปากกาแต่ละแบบ
วิดีโอรีวิว Samsung Galaxy Note II (Samsung Galaxy Note 2) ตอนที่ 4
วิดีโอรีวิว Samsung Galaxy Note II (Samsung Galaxy Note 2) ตอนที่ 4
เนื้อหา วิดีโอรีวิว Samsung Galaxy Note II (Samsung Galaxy Note 2) ตอนที่ 4
- การใส่วัตถุแบบต่างๆ ลงในหน้ากระดาษ
- ฟังก์ชัน Image Note (Photo Note)
- โปรแกรม Paper Artist
- ฟังก์ชันค้นหา และโปรแกรมเว็บเบราเซอร์
- โปรแกรม Samsung Apps
- โปรแกรม ChatON
- ฟังก์ชัน AllShare Play
- โปรแกรม Dropbox
- โปรแกรม Game Hub
- โปรแกรม Google+
- โปรแกรม Learning Hub
- โปรแกรม Google Maps
- โปรแกรม Reader Hub และ Reader Hub Store
- โปรแกรม S Suggest
- โปรแกรม YouTube
วิดีโอรีวิว Samsung Galaxy Note II (Samsung Galaxy Note 2) ตอนที่ 5
วิดีโอรีวิว Samsung Galaxy Note II (Samsung Galaxy Note 2) ตอนที่ 5

เนื้อหา วิดีโอรีวิว Samsung Galaxy Note II (Samsung Galaxy Note 2) ตอนที่ 5

- กล้องดิจิตอล
- ฟังก์ชัน Best Face
- วิทยุ FM Stereo
- วิธีการใช้งานเครื่อง
- การจับภาพหน้าจอ
- โปรแกรมเครื่องเล่นเพลง
- ทดสอบการเล่นเกม Heroes Call
- ทดสอบการเล่นเกม Subway Surfers
- ทดสอบการเล่นเกม Prince of Percia Classic

วิดีโอรีวิว Samsung Galaxy Note II (Samsung Galaxy Note 2) ตอนที่ 6
เนื้อหา วิดีโอรีวิว Samsung Galaxy Note II (Samsung Galaxy Note 2) ตอนที่ 6 

- ฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจ
- การตั้งค่าใช้งานเครื่อง
- การทดสอบระบบการสัมผัสหลายจุด (Multi-touch)
- การทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมด้วยโปรแกรม Quadrant Standard
- การทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมด้วยโปรแกรม Smartbench 2012
- การทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมด้วยโปรแกรม AnTuTu Benchmark
- การทดสอบประสิทธิภาพของการประมวลผลด้วยโปรแกรม Linpack for Android
- การทดสอบประสิทธิภาพในการประมวลผลภาพกราฟฟิคด้วยโปรแกรม NenaMark1
- การทดสอบประสิทธิภาพในการประมวลผลภาพกราฟฟิคด้วยโปรแกรม NenaMark2
- การทดสอบประสิทธิภาพในการประมวลผลภาพกราฟฟิคด้วยโปรแกรม GPU Bench
- การทดสอบประสิทธิภาพในการประมวลผลภาพกราฟฟิคด้วยโปรแกรม An3DBenchXL
- การทดสอบประสิทธิภาพในการรับสัญญาณดาวเทียมจีพีเอส
- สรุปรีวิว Samsung Galaxy Note II (Samsung Galaxy Note 2)

iPad Mini ครั้งแรกในไทยภายในเวลา 1 ชั่วโมง!


แกะกล่อง iPad Mini ครั้งแรกในไทยกับแท็บเล็ตขนาด 7.9 นิ้วรุ่นใหม่ล่าสุดโดย Apple ที่สาวก TechXcite บ่นอยากเห็นตัวจริงกันมานาน วันนี้ ป๋าเอก TechXcite ได้รับการเอื้อเฝื้อเผื่อแผ่มาจากแฟนเพจใจดีของเราท่านหนึ่งให้ได้สัมผัสตัวจริง iPad Mini กันแบบพอหอมปากหอมคอ
iPad Mini
ก็เลยต้องขออนุญาตนำภาพการแกะกล่อง iPad Mini มาฝากทุกๆท่านกันเสียหน่อยเพราะคาดว่าหลายคนอาจจะสั่งซื้อiPad Mini ออนไลน์ไปแล้วหรือไม่อย่างนั้นก็รอสอย iPad Mini เครื่องหิ้วที่จะเข้าร้านมาบุญครองกันในวันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายนนี้เสียเลย คิดเสียว่าเป็นการเรียกน้ำย่อย iPad Mini ไปก่อนก็แล้วกันนะครับ
iPad mini (ไอแพด มินิ)
หน้าตาภายนอกของกล่อง iPad Mini ครับจะเล็กลงกว่ากล่อง iPad with Retina Display รุ่นใหญ่พอสมควรเลย
ได้ iPad Mini มาสองกล่องเลยแต่ขอแกะแค่เครรื่องเดียวละกัน...จะเยอะไปไหน 555+
สำหรับ iPad Mini ที่เราได้รับมาจะเป็นรุ่น iPad Mini 16GB WiFi สีขาว ราคาขายบนหน้าร้านออนไลน์ Apple Online Store (Thailand) อยู่ที่ 11,200 บาทนะครับ
ฝาหน้าและฝาหลังกล่อง iPad Mini ครับชมกันไปเต็มๆเลย
แกะกล่อง iPad Mini ออกมาเรียบร้อยแล้วครับ
เปิดกล่อง iPad Mini ออกมาก็จะเจอกับอุปกรณ์เสริมบางส่วนอย่างเช่นหัวปลั๊ก Wall Charge และแผ่นพับคู่มือการใช้งาน iPad Mini เบื้องต้นนั่นเอง
แผ่นพับคู่มือการใช้งาน iPad Mini ครับ ก็เรียบๆง่ายๆตามสไตล์ Apple เขาเหมือนเดิมแหละ (สุดท้ายแล้วรอซื้อคู่มือของสำนักพิมพ์ IDC มาอ่านดีกว่านะ 555+)
และที่ซ่อนอยู่หลังแผ่นคู่มือและขาดไม่ได้จริงๆใน iPad Mini ก็คือสายเคเบิลพอร์ต Lightning ขนาดเล็กลงกว่าเดิมที่สามารถเสียบใช้งานได้ไม่ว่าจะด้านไหนเหมือนใน iPhone 5 นั่นเองจ้า อ้อ! ลืมบอกไปว่า iPad Mini ไม่มีแถมหูฟัง Earpod เหมือนอย่างในตระกูล iPhone หรือ iPod นะครับ
แน่นอนว่าเมื่อซื้อ iPad Mini มาแล้วก็ขาดไม่ได้เลยที่ต้องซื้อของมาป้องกันรอยเสียหน่อยกับ iPad Mini Smart Cover สีฟ้าสดใสตัวนี้นี่เองงงงง...

ลักษณะเด่นประจำรุ่นโทรศัพท์มือถือ

  • จอแสดงผลแบบ IPS LCD (LED-backlit) ความละเอียด 1024x768 Pixels (กว้าง 7.9 นิ้ว : 163 ppi) พร้อมเทคโนโลยีการเคลือบผิวแบบ Oleophobic Coating ช่วยป้องกันหน้าจอจากรอยนิ้วมือ
  • ประมวลผลการทำงานด้วย Dual-Core A5 (Cortex-A9) Processor พร้อมขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ iOS 6
  • หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล ขนาด 16 GB, 32 GB หรือ 64 GB พร้อมหน่วยความจำ RAM ขนาด 512 MB
  • qรองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE, HSPA+, CDMA EV-DO Rev.A, EDGE และ GPRS พร้อมการเชื่อมต่อข้อมูลผ่านทางสาย Lightning to USB Cable
  • กล้องดิจิตอลตัวหลักที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 5 ล้าน Pixels (iSight Camera) พร้อมกล้องดิจิตอลขนาดเล็กที่ด้านหน้าของตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 1.2 ล้าน Pixels (FaceTime HD Camera)

รายละเอียดตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือ

• ระบบสัญญาณ (เฉพาะ iPad mini Wi-Fi+Cellular โมเดล A1454) Tri Mode (LTE/WCDMA/GSM)

- 4G LTE (Band 4, 17)

- WCDMA/HSPA+ Quad Band (850/900/1900/2100 MHz)

- GSM Quad Band (850/900/1800/1900 MHz)
• ระบบสัญญาณ (เฉพาะ iPad mini Wi-Fi+Cellular โมเดล A1455) Quad Mode (LTE/WCDMA/CDMA/GSM)

- LTE (Band 1, 3, 5, 13, 25)

- WCDMA/HSPA+ Quad Band (850/900/1900/2100 MHz)

- CDMA EV-DO Rev.A and Rev.B Tri Band (800/1900/2100 MHz)

- GSM Quad Band (850/900/1800/1900 MHz)
• ใช้งานได้กับซิมการ์ดแบบ nanoSIM เท่านั้น
• ขนาด 200x134.7x7.2 มิลลิเมตร
• น้ำหนัก 312 กรัม (รุ่น Wi-Fi+Cellular) หรือ 308 กรัม (รุ่น Wi-Fi)
• ชนิดจอแสดงผลแบบ IPS LCD (LED-backlit) ความละเอียด 1024x768 Pixels (กว้าง 7.9 นิ้ว : 163 ppi)

- เทคโนโลยีการเคลือบผิวแบบ Oleophobic Coating ช่วยป้องกันหน้าจอจากรอยนิ้วมือ

- หน่วยประมวลผลภาพกราฟฟิคโดยเฉพาะ (GPU : Graphics Processing Unit) แบบ PowerVR SGX543MP2

- ฟังก์ชัน AssistiveTouch

- ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ 3-Axis Gyro Sensor

- ระบบสัมผัสแบบหลายจุด (Multi-Touch)

- ระบบ Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้

- ฟังก์ชัน Ambient Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอและแผงปุ่มกดให้เหมาะสม
• ประมวลผลการทำงานด้วย Dual-Core A5 (Cortex-A9) Processor
• ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ iOS 6
• ชนิดแบตเตอรี่ Li-Ion Polymer
• ระยะเวลาการเปิดเว็บไซต์ต่อเนื่องสูงสุด (ผ่านระบบ Wi-Fi) ประมาณ 10 ชั่วโมง
• ระยะเวลาการเปิดเว็บไซต์ต่อเนื่องสูงสุด (ผ่านระบบเครือข่าย) ประมาณ 9 ชั่วโมง (เฉพาะ iPad mini Wi-Fi+Cellular)
• ระยะเวลาการเปิดดูวิดีโอต่อเนื่องสูงสุด ประมาณ 10 ชั่วโมง
• ระยะเวลาการฟังเพลงต่อเนื่องสูงสุด ประมาณ 10 ชั่วโมง
• หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล ขนาด 16 GB, 32 GB หรือ 64 GB
• หน่วยความจำ RAM ขนาด 512 MB

คุณสมบัติเกี่ยวกับข้อความ

• Email

- รองรับการใช้งานระบบ Push Email

- รองรับการใช้งานไฟล์แนบ (Attachment) พร้อมรองรับไฟล์นามสกุล .jpg, .tiff, .gif, .doc/.docx (Microsoft Word), .htm/.html (Web Pages), .key (Keynote), .numbers (Numbers), .pages (Pages), .pdf (Preview และ Adobe Acrobat), .ppt/.pptx (Microsoft PowerPoint), .txt (text), .rtf (Rich Text Format), .vcf (Contact Information), 

.xls/.xlsx (Microsoft Excel)
• โปรแกรม iMessage
• Instant Messaging
• รองรับการใช้งานภาษาไทย

- รองรับการใช้งานคีย์บอร์ดภาษาไทย

- รองรับระบบสะกดคำอัตโนมัติภาษาไทย
• ฟังก์ชัน VoiceOver Screen Reader สำหรับการอ่านข้อความ เป็นเสียงพูด

คุณสมบัติเกี่ยวกับการเชื่อมต่อ

• HTML Browser (Safari Web Browser)
• WiFi (WLAN : Wireless LAN : 802.11 a/b/g/n)

- รองรับความถี่ WiFi แบบ Dual Band (2.4 และ 5 GHz)
• 4G LTE (100 Mbps) (เฉพาะ iPad mini Wi-Fi+Cellular)
• HSPA+ (เฉพาะ iPad mini Wi-Fi+Cellular)

- DC-HSDPA (42 Mbps) : HSDPA (21 Mbps) : HSUPA (5.76 Mbps)
• CDMA EV-DO Rev.A and Rev.B (3.1 Mbps) (เฉพาะ iPad mini Wi-Fi+Cellular โมเดล A1455)
• EDGE
• GPRS
• Bluetooth เวอร์ชัน 4.0

- รองรับการเชื่อมต่อใช้งานกับหูฟัง Bluetooth แบบ Stereo (A2DP)

- รองรับเทคโนโลยี EDR (Enhanced Data Rate)
• Lightning Connector

- รองรับการใช้งานสาย Lightning to USB Cable พร้อมรองรับมาตรฐาน USB เวอร์ชัน 2.0
• ช่องต่อสายหูฟังมาตรฐานขนาด 3.5 มิลลิเมตร
• ระบบ GPS ในตัว (Global Positioning System : ระบบดาวเทียมนำร่อง)

- ค้นหาข้อมูลแผนที่ผ่านทางโปรแกรม Apple Maps

- ฟังก์ชัน A-GPS ในตัว (Assisted Global Positioning System : เฉพาะ iPad mini Wi-Fi+Cellular)

- รองรับการใช้งานกับระบบดาวเทียมของรัสเซีย (GLONASS : Global Navigation Satellite System : เฉพาะ iPad mini Wi-Fi+Cellular)

- โปรแกรมเข็มทิศดิจิตอล (Digital Compass)
• รองรับการเก็บบันทึกข้อมูลแบบ Cloud Storage ด้วยบริการ iCloud
• ค้นหาและดาวน์โหลดแอปพลิเคชันผ่านทาง App Store
• เชื่อมต่อ และถ่ายโอนไฟล์ผ่านโปรแกรม iTunes
• รองรับการใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Networking)

- รองรับการใช้งาน Facebook, Twitter

คุณสมบัติทั่วไป

• นาฬิกาบอกเวลา
• โปรแกรม Organizer
• ปฏิทินพร้อมบันทึกนัดหมาย
• เครื่องคิดเลข
• โปรแกรมเล่นไฟล์เพลง

- รองรับย่านความถี่เสียงตั้งแต่ 20 Hz ถึง 20,000 Hz

- รองรับไฟล์เสียงแบบ AAC (8 ถึง 320 Kbps), Protected AAC (จาก iTunes Store), HE-AAC, MP3 (8 ถึง 320 Kbps), MP3 VBR, Audible (formats 2, 3, 4, Audible Enhanced Audio, AAX และ AAX+), Apple Lossless, AIFF และ WAV

- รองรับการกำหนดระดับเสียงสูงสุด
• โปรแกรมเล่นไฟล์วิดีโอ

- รองรับการใช้งานฟังก์ชัน AirPlay Mirroring กับ Apple TV (2nd และ 3rd Generation) ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 720p

- รองรับการใช้งานฟังก์ชัน AirPlay Video Streaming กับ Apple TV (3rd Generation) ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080p และ Apple TV (2rd Generation) ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 720p

- รองรับการใช้งาน Video Mirroring และ Video out ผ่านทาง Lightning Digital AV Adapter (ความละเอียดสูงสุด 720p) และ Lightning to VGA Adapter (ความละเอียดสูงสุด 1080p)

- รองรับไฟล์วิดีโอแบบ H.264 (สูงสุด 1080p : 30 fps : High Profile level 4.1), MOV, MPEG-4 (สูงสุด 640x480 Pixels : 30 fps), Motion JPEG (M-JPEG : สูงสุด 1280x720 pixels : 30 fps), AVI
• โปรแกรม Newsstand
• โปรแกรม Photo Booth
• โปรแกรมเปิดอ่านไฟล์เอกสาร
• ลำโพงเสียงในตัว
• ฟังก์ชัน Siri สำหรับการสั่งงาน และโต้ตอบด้วยเสียงพูด
• บันทึกเสียง

คุณสมบัติอื่น ๆ

• กล้องดิจิตอลตัวหลักที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 5 ล้าน Pixels (iSight Camera)

- ความละเอียดสูงสุดของภาพถ่าย 2592x1944 Pixels

- เซนเซอร์รับภาพแบบ Backside-illuminated Sensor (BSI) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการถ่ายภาพในที่มืด

- โครงสร้างภายใน ประกอบไปด้วยชิ้นเลนส์ 5 ชิ้น

- ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติ (Auto Focus)

- ระบบเลือกจุดโฟกัสภาพด้วยการสัมผัส (Tap to Focus)

- ระบบ Hybrid IR Filter

- ค่ารูรับแสง (Aperture) กว้างสูงสุดที่ F/2.4

- ฟังก์ชัน Face Detection ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการโฟกัสไปที่ใบหน้าของผู้ถูกถ่าย

- ปรับค่าชดเชยแสง (Exposure)

- ฟังก์ชัน Geotagging รองรับการแนบข้อมูลพิกัดตำแหน่งบนพื้นโลกไปกับรูปถ่าย

- โปรแกรมตกแต่งแก้ไขรูปภาพ

- ถ่ายภาพวิดีโอ (Full HD : 1080p : 1920x1080 Pixels)

- ระบบป้องกันการสั่นไหวของภาพวิดีโอ (Video Stabilization)

- ฟังก์ชัน Video Face Detection ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการโฟกัสไปที่ใบหน้าของผู้ถูกถ่าย

- โปรแกรมตัดต่อวิดีโอ
• กล้องดิจิตอลขนาดเล็กที่ด้านหน้าของตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 1.2 ล้าน Pixels (FaceTime HD Camera)

- เซนเซอร์รับภาพแบบ Backside-illuminated Sensor (BSI) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการถ่ายภาพในที่มืด

- รองรับการใช้งาน FaceTime (Video Calling) ผ่านทางระบบ Wi-Fi หรือระบบเครือข่าย

- ถ่ายภาพวิดีโอ (HD 720p : 1280x720 Pixels : 30 fps)

- ฟังก์ชัน Face Detection ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการโฟกัสไปที่ใบหน้าของผู้ถูกถ่าย

- ปรับค่าชดเชยแสง (Exposure) สำหรับภาพนิ่ง และภาพวิดีโอ

- ฟังก์ชัน Geotagging รองรับการแนบข้อมูลพิกัดตำแหน่งบนพื้นโลกไปกับรูปถ่าย
• เกมส์ในเครื่อง
• มี 2 สีมาตรฐานให้เลือก (Black-Slate และ White-Silver)
• เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ วันที่ 23 ตุลาคม ปี ค.ศ. 2012
• กำหนดการออกวางจำหน่าย เดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2012
• ราคาเปิดตัว iPad mini Wi-Fi 16GB 329$
• ราคาเปิดตัว iPad mini Wi-Fi 32GB 429$
• ราคาเปิดตัว iPad mini Wi-Fi 64GB 529$
ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ จาก Thaimobilecenter