วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Samsung Galaxy S IV (S 4) อาจไม่มีปุ่ม Home แต่มีปากกา S Pen แทน


[14-กุมภาพันธ์-2556] ข่าวอัพเดท Samsung Galaxy S IV (S 4) ประจำวันนี้ เมื่อสำนักข่าว Ddaily ประเทศเกาหลีใต้ ได้เผยว่า วงในของซัมซุง ได้เริ่มประชุมเรื่อง ดีไซน์ของ Samsung Galaxy S IV (S 4) กันอีกครั้งครับว่า จะให้ Samsung Galaxy S IV (S 4) มีปุ่ม Home แบบ Physical button ต่อไป หรือว่า จะตัดฟังก์ชั่นดังกล่าวออก ซึ่งเรื่องดังกล่าว เคยเกิดขึ้นกับ Samsung Galaxy S III (S 3) มาแล้วหนหนึ่งครับ
นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือออกมาอีกด้วยว่า Samsung Galaxy S IV (S 4) อาจจะมี ปากกา S Pen เพิ่มเข้ามา แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ครับ เพราะถ้าหาก Samsung Galaxy S IV (S 4) มีปากกา S Pen จริง อาจจะไปทับไลน์กับ Samsung Galaxy Note ก็เป็นได้
ส่วนสเปคอย่างไม่เป็นทางการของ Samsung Galaxy S IV (S 4) นั้นก็คือ มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 4.99 นิ้ว แบบ AMOLED ความละเอียด Full HD และอาจจะใช้ชิปเซ็ทแบบ 8 คอร์ครับ - phonearena.com
Samsung Galaxy S IV (S 4) เปิดตัว 15 มีนาคมนี้ [ข่าวลือ]
เว็บไซต์ SamMobile แหล่่งรวมข่าว (ลือ) มือถือซัมซุง ได้ออกมาเปิดเผย หลังจากได้รับข้อมูลจากวงในครับว่า Samsung Galaxy S IV (S4) จะเปิดตัว ในวันที่ 15 มีนาคมนี้ แต่สถานที่จัดงาน Samsung Unpacked ยังถูกเก็บไว้เป็นความลับอยู่
นอกจากนี้ SamMobile ยังได้เผยว่า Samsung Galaxy S IV (S 4) นั้น จะเริ่มวางจำหน่าย ราวๆ สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนเมษายนนี้ โดยจะวางจำหน่ายในประเทศแถบยุโรปก่อน ส่วนฝั่งเอเชีย วางจำหน่าย ประมาณปลายเดือนเมษายน และฝั่งอเมริกา ออสเตรเลีย และแอฟริกา วางจำหน่ายประมาณเดือนพฤษภาคม - มิถุนายนครับ
ส่วนอุปกรณ์เสริม สำหรับ Samsung Galaxy S IV (S4) ไม่ว่าจะเป็น เคส (ทุกแบบ), แบตเตอรี่เสริม, อุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย, HDTV Adapter และอื่นๆ จะวางจำหน่าย ช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนเมษายนเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ดี ข้อมูลดังกล่าวข้างต้น ยังคงย้ำปิดท้ายเหมือนเดิมครับว่า เป็นเพียง "ข่าวลือ" เท่านั้น - sammobile.com
หลุดภาพตัวอย่าง จากกล้องบน Samsung Galaxy S IV (S4) บน Google+
เว็บไซต์ HDBlog.it ได้เผยภาพบางส่วน ที่อ้างว่า เป็นภาพที่ถ่ายได้จากกล้องบน Samsung Galaxy S IV (S4) โมเดล SHV-E300S ของประเทศเกาหลีใต้ และโมเดล SGH-I337 ของเครือข่าย AT&T ครับ โดยภาพดังกล่าว ปรากฏบน Google+ ที่คาดว่า น่าจะถ่ายมาจาก ซัมซุง สำนักงานใหญ่ เนื่องจากมีภาพปฏิทินตั้งโต๊ะของ Samsung ปรากฏอยู่ด้วยนั่นเอง
อย่างไรก็ดี ข้อมูล EXIF ยังไม่สามารถบอกความละเอียดของกล้องบน Samsung Galaxy S IV (S4) ได้ครับ เนื่องจากภาพดังกล่าว ไม่ได้ถูกถ่ายด้วยความละเอียดสูงสุด ซึ่งข้อมูล EXIF เผยว่า ระยะรูรับแสงกว้าง f/2.2 (บน Samsung Galaxy S III กว้าง f/2.6) และความยาวของจุดรวมแสง อยู่ที่ 4.2 มม. - sammobile.com
หลุดภาพ Samsung Galaxy S IV (S4) บนเว็บไซต์ Picasa
แม้ว่าในตอนนี้ จะยังสรุปไม่ได้ว่า Samsung Galaxy S IV (S 4) นั้น จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ล่าสุด ได้มีภาพหลุด Samsung Galaxy S IV (S4) บนเว็บไซต์ Picasa ครับ ซึ่งมีรายละเอียดเขียนกำกับไว้ว่า "Galaxy S IV GT-I9500 Product Image" ซึ่งเมื่อเทียบกับ Samsung Galaxy S III แล้ว ดูเหมือนว่า Samsung Galaxy S IV (S4) ภาพด้านบนนี้ ขอบเครื่องจะมนน้อยกว่า และหน้าจอใหญ่กว่า ส่วนปุ่ม Home ยังคงมีอยู่เหมือนเดิมครับ
อย่างไรก็ดี หลายสำนักข่าวเชื่อว่า ภาพ Samsung Galaxy S IV (S4) ภาพนี้ น่าจะเป็นภาพประกอบที่ใช้ในงานเปิดตัว ที่คาดว่า น่าจะมีขึ้นในเดือนมีนาคม ที่จะถึงนี้ครับ - phonearena.com
Samsung Galaxy S IV (S4) หน้าจอความละเอียดแบบ Full HD ?
อย่างที่หลายๆ ท่านทราบกันครับว่า ในตอนนี้ สมาร์ทโฟนหน้าจอ 5 นิ้ว ความละเอียดแบบ Full HD 1080p กำลังเป็นกระแสของสมาร์ทโฟนระดับ High-end อยู่ในขณะนี้ ทำให้ถูกมองว่า มีความเป็นไปได้ที่ Samsung Galaxy S IV (S4) อาจจะใช้หน้าจอ 5 นิ้ว ความละเอียดแบบ Full HD ตามกระแสด้วยก็เป็นได้ครับ
และข้อสันนิษฐานดังกล่าว ก็มีน้ำหนักมากขึ้น เมื่อนักข่าวจากเว็บไซต์ AnandTech.com ตาไว ไปเห็น roadmap ของหน้าจอมือถือจากบูธซัมซุง ในงาน CES 2013 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาครับ ซึ่งความน่าสนใจก็คือ ข้อมูลของไตรมาส 1 ปี 2013 หรือในช่วงนี้ เป็นช่วงของหน้าจอ 4.99 นิ้ว ความละเอียดแบบ FHD (Full HD) นั่นเอง ทำให้คาดการณ์ว่า ข้อมูลดังกล่าว อาจจะเป็น Samsung Galaxy S IV (S4) อย่างแน่นอนครับ
มีความเป็นไปได้ที่ เราอาจจะได้เห็น Samsung Galaxy S IV (S4) ช่วงปลายเดือนมีนาคม- พฤษภาคม ตามข่าวลือก่อนหน้านี้ ก็เป็นได้ครับ - gsmarena.com
หลุดภาพ Samsung Galaxy S IV (S4) ไม่มีปุ่มด้านหน้า
ทางเว็บไซต์ SamMobile ได้เปิดเผย ภาพหลุด ของสมาร์ทโฟนรุ่นหนึ่ง ที่อ้างว่า เป็น Samsung Galaxy S IV (S4) หลังจากที่ได้รับภาพดังกล่าว จากแหล่งข่าววงในจากซัมซุงครับ โดยทาง SamMobile ได้เผยว่า ยังไม่ปักใจเชื่อ 100% ว่า ภาพดังกล่าว จะเป็นภาพของ Samsung Galaxy S IV (S4) จริงหรือไม่ ซึ่ง ภาพดังกล่าว คล้ายกับ Samsung Galaxy S III (Galaxy S3) ครับ เพียงแต่ด้านหน้านั้น ไม่มีปุ่มควบคุมการทำงานอีกต่อไป และดูเหมือนว่า ตัวเครื่องจะบางลงเล็กน้อยอีกด้วย
โดยสเปคอย่างไม่เป็นทางการ ของ Samsung Galaxy S IV (S 4) เป็นดังนี้ครับ
- หน้าจอขนาด 4.99 นิ้ว แบบ SuperAMOLED display ความละเอียด 1080×1920 พิกเซล
- ซีพียู Exynos 5450 Quad-Core CPU ความเร็ว 2.0GHz
- การ์ดจอ Mali-T658 GPU
- RAM ขนาด 2GB
- กล้องด้านหน้า ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
- กล้องด้านหลัง ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล
- รัน Android 4.2.1 Jelly Bean
ไม่เพียงเท่านั้น สมาชิกคนหนึ่งของ SamMobile ยังได้โพสภาพ งาน Samsung Mobile Unpacked 2013 ซึ่งจากภาพนั้น ได้ระบุว่า งานดังกล่าว จะจัดขึ้นในวันที่ 4 มีนาคมนี้ เมืองพยองชาง ประเทศเกาหลีใต้ครับ โดยภาพดังกล่าว ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า เป็นภาพจริงหรือไม่เช่นกัน - SamMobile.com
ในขณะที่ทาง ซัมซุง เลบานอน ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ วันเปิดตัว Samsung Galaxy S IV (Galaxy S 4) ผ่านทาง Facebook ครับว่า น่าจะเปิดตัว ไม่เกินเดือนพฤษภาคมนี้อย่างแน่นอน โดยคาดกันว่า คำพูดที่ทาง ซัมซุง เลบานอน กล่าวถึงนั้น อาจจะอยู่ในช่วง ปลายเดือนเมษายน - พฤษภาคมครับ - phonearena.com

เปิดตัว Meizu MX2 สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์จอ 4.4 นิ้ว พร้อมสเปคแรง ๆ


Meizu MX2
Meizu MX2

          มาตามนัดสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จาก Meizu ผู้ผลิตมือถือแบรนด์ดังจากจีน ล่าสุดเปิดตัว Meizu MX2 อย่างเป็นทางการในประเทศจีน และถือเป็นสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รุ่นเรือธงที่ออกมาเชิญหน้าชูตาให้แบรนด์ Meizu เป็นที่รู้จักมากขึ้น ความน่าสนใจของ Meizu MX2 นอกจากจะมาพร้อมกับรูปทรงของตัวเครื่องที่มีเอกลักษณ์และสเปคแบบแรง ๆ เหมือนกับรุ่น Meizu MX ที่ออกมาเมื่อช่วงต้นปี ในรุ่นนี้ยังได้มีการปรับปรุงในหลาย ๆ อย่างให้ดีขึ้น ส่วนจะมีอะไรเด็ด ๆ บ้าง ถ้าพร้อมแล้วมาติดตามกันเลย

Meizu MX2
Meizu MX2

          สำหรับ Meizu MX2 ยังคงมีหน้าตาและการดีไซน์คล้ายกับรุ่น MX ที่ออกมาก่อนหน้านี้ แต่ความพิเศษของรุ่น Meizu MX2 ได้มีการเปลี่ยนปุ่มโฮมเป็นแบบสัมผัสแทน และระยะห่างชองขอบหน้าจอกับตัวเครื่องเรียกว่าชิดเกือบไร้ขอบเลยก็ว่าได้ ส่วนด้านสเปคมาพร้อมกับซีพียู Cortex-A9 รหัส MX5S แบบควอดคอร์ ความเร็ว 1.6GHz, แรม 2GB หน่วยความจำภายในแบ่งออกเป็น 3 ขนาด ได้แก่ 16GB, 32GB และ 64GB มีหน้าจอมีขนาด 4.4 นิ้ว ความละเอียด 1280×800 พิกเซล (347 PPI) พร้อมเทคโนโลยี New Mode 2 ทำให้กินไฟน้อยกว่าเดิม และใช้ระบบปฏิบัติการ Flyme OS 2.0 ซึ่งปรับแต่งมาจาก Android 4.1 Jelly Bean ทางผู้พัฒนาบอกว่าสามารถปรับแต่งได้เยอะกว่าแอนดรอยด์ธรรมดา 

          นอกจากนี้ยังมีกล้องถ่ายภาพความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รองรับการบันทึวิดีโอ 1080p ส่วนกล้องด้านหน้ารองรับการบันทึกวิดีโอระดับ 720p และรองรับเครือข่าย 2G ความถี่ 900/1800 MHz และ 3G ความถี่ 2100 MHz ส่วนตัวสีของเครื่องด้านหน้าเป็นสีดำ ด้านหลังเป็นสีขาว และใช้แบตเตอรี่ความจุ 1800 mAh ไม่สามารถถอดฝาหลังได้

Meizu MX2

Meizu MX2

          สเปคเบื้องต้นของ Meizu MX2
  ระบบปฏิบัติการ Flyme OS 2.0 ปรับแต่งมาจาก Android 4.1 Jelly Bean
  ซีพียู Cortex-A9 รหัส MX5S แบบควอดคอร์ ความเร็ว 1.6GHz และแรม 2GB
  รองรับเครือข่าย 2G ความถี่ 900/1800 MHz และ 3G ความถี่ 2100 MHz
  หน่วยความจำภายใน 3 ความจุ ได้แก่ 16GB, 32GB และ 64GB
  หน้าจอขนาด 4.4 นิ้ว ความละเอียด 1280×800 พิกเซล พร้อมเทคโนโลยี New Mode 2 ทำให้กินไฟน้อยกว่าเดิม
  กล้องถ่ายภาพด้านหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และมีกล้องด้านหน้า
  เชื่อมต่อ WIFI/WAPI (802.11 b/g/n), WLAN Direct และ Bluetooth 4.0
  รองรับการบันทึกวิดีโอ 1080p และ 720p
  ขนาดของตัวเครื่อง 124.9 x 64.9 x 10.2 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 142 กรัม
  แบตเตอรี่ความจุ 1800 mAh
  ดูข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติมคลิกที่นี่

          ทั้งนี้ Meizu MX2 จะเริ่มวางจำหน่ายในประเทศจีนในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2555 โดยราคาวางจำหน่ายจะแบ่งไปตามขนาดความจุ สำหรับรุ่น 16GB ราคา 2,499 หยวน (ประมาณ 12,200 บาท), รุ่น 32GB ราคา 2,999 หยวน (ประมาณ 14,700 บาท) และรุ่น 64GB ราคา 3,999 หยวน (ประมาณ 19,600 บาท) ส่วนกำหนดการวางจำหน่ายในประเทศอื่น ๆ ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลเปิดเผย 


เหตุผลที่ทำให้ Google/Android อยู่เหนือ Apple/iOS


เหตุผลที่ทำให้ Google/Android อยู่เหนือ Apple/iOS

          หากพูดถึงจำนวนของผู้ที่ใช้งานระบบปฏิบัติการระหว่างแอนดรอยด์ (Android) ของกูเกิล (Google) และไอโอเอส (iOS) ของแอปเปิล (Apple) แล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่าจำนวนผู้ใช้แอนดรอยด์นั้นได้แซงหน้า iOS ไปมากแล้ว ชนิดที่เรียกว่าไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว

          ล่าสุด ได้มีการเปิดเผยสัดส่วนทางการตลาดในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ออกมา พบว่าแอนดรอยด์มีส่วนแบ่งการตลาดที่สูงถึง 72.4% ส่วน iOS นั้นมีส่วนแบ่งเพียง 13.9% เท่านั้น นับว่าเป็นตัวเลขที่ห่างกันไกลมาก ๆ แต่จะมีใครทราบบ้างว่าเพราะเหตุใด กูเกิลถึงแซงหน้าแอปเปิลไปได้ขนาดนั้น นาย Simon Hill จากเว็บไซต์ androidauthority.com จึงได้ทำการวิเคราะห์เรื่องนี้ขึ้นมาให้พวกเราได้อ่านกันเป็นบทความตามด้านล่างนี้ครับ

          หากพิจารณาในด้านการให้บริการทางด้านออนไลน์และเว็บแล้ว ทางด้านของกูเกิลนั้นมีบริการต่าง ๆ ที่ครบถ้วนและเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็น Gmail, Google Docs (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Google Drive), Google Maps, Google Music, Google+, Youtube หรือ Chrome ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนถูกเชื่อมต่อกันหมดผ่าน Google Account และรวมตัวเข้ากับแอนดรอยด์ ทำให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวกสบายในการใช้งาน อีกทั้งยังมีระบบที่มีเสถียรภาพสูง ถึงแม้ผู้ใช้จะไม่ค่อยมีความรู้ด้านเทคโนโลยีก็สามารถใช้งานได้อย่างไร้ปัญหาใด ๆ

         แต่เมื่อเทียบกับบริการของด้านแอปเปิลแล้ว ทางแอปเปิลมีบริการที่ไม่มีประสิทธิภาพดีเท่าของกูเกิล ไม่ว่าจะเป็น iTunes, iCloud, MobileMe, Facetime หรือ Safari ซึ่งล้วนมีปัญหาและข้อผิดพลาดต่างจากทั้งตัวโปรแกรมและระบบ ที่ทำให้เกิดปัญหากับผู้ใช้อยู่บ่อยครั้ง รวมทั้งบริการแผนที่อย่าง Apple Maps หรือบริการโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่าง Ping ที่แอปเปิลพยายามสร้างมาแข่งขันกับคู่แข่ง แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นแต่อย่างใด จึงเป็นสาเหตุให้เหล่าผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่ต้องการใช้บริการเหล่านี้เป็นหลัก เลือกที่จะใช้แอนดรอยด์กันมากกว่า iOS

          ทีนี้มาลองดูกันในด้านของการออกแบบซอฟต์แวร์บ้าง iOS ได้ถือกำเนิดมาก่อนแอนดรอยด์ โดยมาพร้อมกันกับ iPhone กับ iPod touch ในปี 2007 และได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ส่วนแอนดรอยด์นั้นมาพร้อมกับสมาร์ทโฟนครั้งแรกในปี 2008 โดยในช่วงแรก ๆ นั้นแอนดรอยด์ยังไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร เนื่องจากยังเป็นระบบใหม่ และยังพัฒนาออกมาได้ไม่ค่อยดีนัก แต่หลังจากนั้นกูเกิลก็พยายามพัฒนาปรับปรุงให้แอนดรอยด์มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่างกับแอปเปิลที่ไม่ค่อยกระตือรือร้นที่จะพัฒนา iOS สักเท่าไหร่ จากแนวคิดที่ว่า "ถ้ามันไม่ได้มีปัญหาอะไร เราก็ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน" หรือเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือกูเกิลนั้นวิ่งไปข้างหน้าอยู่ตลอด แต่แอปเปิลนั้นคลานอยู่กับที่นั่นเอง ทำให้แอนดรอยด์ในปัจจุบันนั้นมีประสิทธิภาพที่มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งด้านอินเทอร์เฟซและการใช้งาน แต่ iOS กลับคงรูปแบบเดิม ๆ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไหร่

         ในส่วนของด้านฮาร์ดแวร์ ทางกูเกิลได้เปรียบกว่าแอปเปิลค่อนข้างมาก เนื่องจากมีบริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ผลิตอุปกรณ์ที่ใช้แอนดรอยด์ออกมาหลากหลายยี่ห้อ หลากหลายรุ่น หลากหลายดีไซน์ ต่างกับแอปเปิลที่เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ที่ใช้ iOS แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งจากการที่มีอุปกรณ์แอนดรอยด์ออกมาหลากหลายนั้น ส่งผลให้มีโอกาสเจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าได้มากขึ้น เนื่องจากผู้ใช้แอนดรอยด์มีสิทธิที่จะเลือกซื้ออุปกรณ์รุ่นที่ตัวเองต้องการได้ตามใจชอบ ต่างกับผู้ใช้ iOS ที่มีตัวเลือกเพียงอุปกรณ์ของแอปเปิลที่มีออกมาเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้น

          อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ากูเกิลจะมีส่วนแบ่งการตลาดที่สูงกว่าแอปเปิลอยู่มาก แต่แอปเปิลนั้นมีกำไรสูงมากกว่ากูเกิล เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่าทั้งสองบริษัทใช้กลยุทธ์ที่ต่างกัน โดยกูเกิลเน้นการทำส่วนแบ่งการตลาดให้สูง และเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าจำนวนมาก ส่วนแอปเปิลไม่ได้เน้นจำนวนลูกค้า แต่มุ่งเน้นการจัดสรรทรรพยากรการลงทุนด้านซอฟต์และแวร์ฮาร์ดแวร์มากกว่า ส่งผลให้สามารถทำกำไรได้มากกว่ากูเกิลที่ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้เท่าไหร่นัก

           นอกจากนี้ ยังมีการพบว่าการเติบโตอย่างรวดเร็วของแอนดรอยด์นั้น ส่วนหนึ่งได้มาจากฐานลูกค้าของ BlackBerry และ Nokia ด้วย เพราะในระยะหลัง ๆ ทั้งสองแบรนด์เริ่มได้รับความนิยมลดลงไปมาก เนื่องจากลูกค้าหันมาใช้แอนดรอยด์กันแทน โดยในตอนนี้ยังเหลือที่ว่างที่เป็นโอกาสให้แอนดรอยด์และ iOS สามารถขยายตลาดได้ออกไปอีก และในอนาคตเมื่อตลาดถึงจุดอิ่มตัวแล้ว นั่นไม่ได้หมายความว่าการเจริญเติบโตของแอนดรอยด์จะหยุดนิ่ง เพราะอาจมีผู้ใช้ iOS เปลี่ยนใจหันมาใช้แอนดรอยด์กันแทนก็เป็นได้ ถึงแม้แอปเปิลจะมีบรรดาสาวกอยู่เหนียวแน่นก็ตาม แต่ถ้าหากแอปเปิลยังคงคลานอยู่กับที่ ในขณะที่กูเกิลนั้นพยายามวิ่งเร็วต่อไปเรื่อย ๆ ก็อาจทำให้เหล่าสาวกเกิดอาการไขว้เขวได้เหมือนกัน...

ตามหามือถือแอนดรอยด์หายด้วย Google Latitude




          ครั้งก่อนได้แนะนำเพื่อนๆ ที่ใช้งาน iPhone ไปแล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์ iPhone สุดรักของเราหายไปจะมีวิธีจัดการอย่างไรเมื่อ iPhone หาย สามารถดูขั้นตอนและวิธีการตามหา iPhone คลิกที่นี่คราวนี้มาถึงคิวเพื่อน ๆ ที่ใช้มือถือระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์กันบ้าง ส่วนวิธีการค้นหามือถือบนแอนดรอยด์นั้นมีหลากหลายวิธี แต่ที่จะแนะนำวันนี้เป็นการตามหามือถือแอนดรอยด์ด้วยบริการ Google Latitude ซึ่งเป็นบริการฟรีจากกูเกิล ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับบริการนี้กันก่อน 



Google Latitude

          Google Latitude คือ บริการระบบติดตามที่อยู่ เป็นอีกหนึ่งบริการที่ต่อยอดมาจาก Google Map ทำหน้าที่ระบุตำแหน่งบนแผนที่ Google Maps โดยอ้างอิงจากระบบ GPS แบบ Tracking ทำให้เราทราบว่าคนที่ใช้ Google Latitude อยู่ที่ไหนกันบ้างบนโลกใบนี้นั่นเอง แต่ก็สามารถทำมาประยุกต์ใช้ติดตามมือถือหายและสำรองข้อมูลต่าง ๆ ได้ สำหรับบริการนี้รองรับการใช้งานโทรศัพท์มือถือหลายระบบปฏิบัติการ เช่น iOS, Android, Nokia, Blackberry, Windows Mobile, มือถือ Java และใช้งานผ่านทางเว็บบราวเซอร์บนคอมพิวเตอร์ ส่วนขั้นตอนวิธีการใช้ Google Latitude ตามหามือถือที่หายมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง มาติดตามกันเลย 

สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนใช้งาน Google Latitude 

    •    โทรศัพท์มือถือแอนดรอยด์ที่เราใช้งาน และติดตั้งแอพฯ Google Maps ให้เรียบร้อย 

    •    บัญชี Google Account (Gmail) อีเมล 2 บัญชี

    •    โทรศัพท์มือถือควรเปิดการใช้งาน 3G อยู่ตลอดเวลา

    •    ในกรณีที่มือถือหายแล้ว ควรมีคอมพิวเตอร์, โน๊ตบุ๊คหรือมือถือเครื่องอื่น ๆ ที่ติดตั้ง Google Latitude ไว้สำหรับค้นหาตำแหน่งมือถือ

ก่อนมือถือหายควรตั้งค่าและเปิดใช้งาน Google Latitude กันก่อน

 1. เชื่อมต่อบัญชี Google Account โดยไปที่ Settings > Accounts and sync > Add account > Google จากนั้นให้ซิงก์บัญชี Gmail ที่เราใช้งานลงไป และซิงก์ข้อมูลต่าง ๆ ภายในเครื่องเข้ากับบริการของกูเกิล ไม่ว่าจะเป็น ปฏิทิน, เบอร์โทรศัพท์, รูปภาพ เป็นต้น ในกรณีที่มือถือหาย เราสามารถดาวน์โหลดข้อมูลเหล่านี้มาเก็บไว้ได้ 


 2. ขั้นตอนต่อไปให้เปิดการติดตามด้วย Google Latitude (ควรเปิดการใช้งาน GPS ไว้ด้วย) โดยไปที่แอพฯ Maps > แตะเมนู > Settings > Location settings 




 3. จากนั้นแตะเลือก Share location with family or friends > Agree & Continue > รอสักครู่ระบบจะทำการค้นหาตำแหน่งมือถือ



 4. เมื่อตั้งค่าเรียบร้อยแล้วก็จะเจอกับหน้า Latitude เราสามารถแตะ Map View เพื่อดูตำแหน่งปัจจุบันของเราได้ โดยจะมีสัญลักษณ์เป็นรูปโปรไฟล์ของเราแสดงบนแผนที่ (ตามภาพ) 




 5. ไปที่เว็บ www.google.com/latitude ล็อกอินด้วยบัญชีอีเมลอีกชื่อที่เราเตรียมไว้ เพื่อใช้สำหรับติดตามมือถือในกรณีที่สูญหาย (ไม่ใช่อีเมลเดียวกับที่ซิงก์อยู่บนมือถือ) 

 6. จากนั้นให้คลิกที่ปุ่ม เพิ่มเพื่อน ใส่อีเมล (อันแรก) ที่เราซิงก์ไว้บนมือถือ เสร็จแล้วคลิกปุ่ม ส่งคำเชิญ 



 7. จะมีอีเมลแจ้งเตือนให้ทราบว่ามีการขอเพิ่มเป็นเพื่อนบน Google Latitude ให้เราเช็คอีเมลทั้งสองเมลแล้วกดยืนยันเพื่อแชร์ตำแหน่งให้กับอีเมลที่สอง เสร็จแล้วให้เข้าไปยัง Google Latitude บนมือถือก็จะพบกับข้อความร้องขอการแชร์ตำแหน่งบนแผนที่จากอีกอีเมล ให้แตะที่ข้อความจากนั้นแตะเลือก Accept and share back



เพียงเท่านั้นก็เสร็จขั้นตอนการตั้งค่า Google Latitude ก็สามารถใช้งานได้แล้ว 

วิธีตามหามือถือแอนดรอยด์หายด้วย Google Latitude

 1. สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรกก็คือ การตั้งสติ อย่าตื่นตระหนกจนเกิดเหตุ และให้พยายามนึกให้ได้ว่าใช้งานมือถือครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ เพราะมีบางกรณีลืมไว้บนรถแท็กซี่, ตามร้านอาหาร สิ่งที่ควรทำให้หาโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องเพื่อโทรเข้าหามือถือของเรา 


 2. หากลองทำตามขั้นตอนที่ 1 แล้วไม่ได้ผล ให้กลับมาใช้ Google Latitude เพื่อดูตำแหน่งมือถือ โดยหาคอมพิวเตอร์หรือมือถือที่มีแอพฯ Google Latitude ในกรณีที่ใช้คอมฯ ตามหาให้เข้าไปที่เว็บ www.google.com/latitude  ล็อกอินด้วยอีเมลสำรอง (ที่เพิ่มเป็นเพื่อนกับอีเมลแรกบนมือถือ) จากนั้นบนแผนที่จะแสดงตำแหน่งมือถือของเราพร้อมกับบอกที่อยู่แบบชัดเจน


 3. เมื่อทราบตำแหน่งมือถือที่หายแล้ว ในกรณีที่ต้องการออกตามหาด้วยตัวเอง ควรมีเพื่อนหรือผู้ใหญ่ไปด้วย เพื่อความปลอดภัยหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
 ทางที่ดีให้เดินทางไปยังแจ้งความที่สถานีตำรวจ ในพื้นที่ที่เราทำมือถือหาย จากนั้นทางตำรวจจะสอบถามเพื่อเขียนเอกสารแจ้งความ และสิ่งสำคัญที่จะต้องมีก็คือหมายเลข IMEI ของเครื่อง (วิธีดูเลขอีมี่ให้กด *#06#)  เมื่อเสร็จขั้นตอนให้นำเอกสารแจ้งความไปยื่นยังแผนกกฏหมายของผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ (AIS, True และ Dtac) ตามเครือข่ายที่เราใช้งาน ควรนำไปยื่นด้วยตัวเอง เพื่อจะได้สอบถามข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติมได้

 4. รอให้คนที่เจอหรือขโมยมือถือนำเครื่องไปใช้งาน ระหว่างนั้นให้เช็คกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เป็นระยะ สอบถามข้อมูลว่ามือถือของเราถูกเปิดใช้งานหรือไม่ (ขั้นตอนนี้เราจะต้องดำเนินการเอง) และอย่าลืมเข้าเว็บ Google Latitude เพื่อตรวจสอบตำแหน่งอีกช่องทาง
 

 5. ในกรณีที่มีข้อมูลสำคัญอยู่ในมือถือ หากเราทำการซิงก์ข้อมูลต่าง ๆ ไว้กับกูเกิล ให้เราเข้าไปดึงข้อมูลกลับมาโดยไปที่ accounts.google.com ล็อกอินด้วยบัญชีอีเมลเดียวกับที่อยู่บนมือถือ จากนั้นไปที่บัญชีซึ่งอยู่ด้านรายการซ้ายมือแล้วคลิก ดาวน์โหลดข้อมูลของคุณ เสร็จแล้วให้ทำการเปลี่ยนรหัสผ่านอีเมล เพื่อป้องกันคนที่เจอโทรศัพท์เข้าไปลบข้อมูลต่าง ๆ หรือเปิดดูอีเมลสำคัญ ๆ 

          ทั้งหมดนี้คือวิธีตามหามือถือสำหรับผู้ใช้งานแอนดรอยด์ ซึ่งจริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายวิธี บางคนอาจจะเลือกตามหาด้วยแอพพลิเคชั่นหรือบริการตามหาจากผู้ผลิตมือถือ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ใช้มือถือแอนดรอยด์เฉพาะซัมซุงสามารถติดตามมือถือได้ผ่านบริการ Samsung Dive หรือมือถือรุ่นอื่น ๆ สามารถใช้งานแอพฯ Android Lost, Plan B และ Lookout Security & Antivirus เป็นต้น 


          ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยและป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสีย ควรใช้มือถืออย่างระมัดระวังและเก็บไว้ให้มิดชิด ส่วนเรื่องมือถือที่หายไปแล้วนั้นจะได้มือถือคืนหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยและต้องอาศัยเวลาและความอดทน ทางที่ดีอย่าทำมือถือหายจะดีที่สุด 

เอเซอร์เดินหน้ารุกตลาดแท็บเล็ตเพื่อการเรียนรู้เผยโฉม Acer ICONIA | B1


   

  เอเซอร์เพิ่มผลิตภัณฑ์แท็บเล็ตด้วย ICONIA | B1-A71 ขนาด 7 นิ้ว

  เจาะกลุ่มตลาดผู้ใช้งานเครื่องแรกหรือครอบครัวที่กำลังมองหาแท็บเล็ตให้แก่เด็กๆ

  Acer Smart App ศูนย์รวมแอพพลิเคชั่นแห่งความรู้

  สะดวกในการพกพา อ่านและเปิดโลกทัศน์ใหม่ได้อย่างรวดเร็วเพียงปลายนิ้วสัมผัสเหมาะเป็นเพื่อนคู่ใจ

     
          บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด ผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดคอมพิวเตอร์โดยรวมในประเทศไทย เปิดตัวแท็บเล็ต Acer ICONIA | B1 สำหรับเยาวชน ผู้เริ่มใช้แท็บเล็ตเครื่องแรกหรือครอบครัวที่กำลังมองหาแท็บเล็ตให้แก่บุตรหลาน Acer ICONIA | B1 นี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายในการพกพา ด้วยขนาดเพียง 7 นิ้ว เทียบเท่ากับขนาดหนังสือเล่มเล็ก มีภาพที่คมชัดสบายตาเหมาะต่อการอ่านหนังสือแบบอิเล็กทรอนิกส์ ท่องอินเทอร์เน็ต เล่นเกมและดูหนัง


          นายนิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบริหารการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดแท็บเล็ตในปีที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการติดตามและศึกษาความต้องการแท็บเล็ตของผู้บริโภคมาโดยตลอด ในวันนี้เอเซอร์พร้อมแล้วที่จะให้ผู้บริโภคได้สัมผัสกับแท็บเล็ตที่มีขนาดและราคาที่พอเหมาะ พร้อมกับโซลูชั่น และบริการหลังการขายอย่างครบวงจร ด้วยการเปิดตัว Acer ICONIA | B1 แท็บเล็ตสำหรับเยาวชนและผู้เริ่มใช้แท็บเล็ตเครื่องแรก ด้วยระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.1 และหน่วยประมวลผลแบบดูโอคอร์ นอกจากนี้เอเซอร์ยังได้พัฒนา Acer Smart ศูนย์รวมแอพพลิเคชั่นทางความรู้ ที่รวบรวมเนื้อหาทางการศึกษา สื่อการเรียน เพื่อการพัฒนาและเสริมสร้างทักษะทางความรู้ในทุกเนื้อหาวิชาสำหรับเยาวชนโดยเฉพาะ


          นายบุญชัย เงาวิศิษฎ์กุล รองผู้อำนวยการ ฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์โมบิลิตี้ บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ICONIA | B1 ที่เปิดตัวในวันนี้ ถือเป็นแท็บเล็ตที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องราคาและประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นขนาดหน้าจอที่พอเหมาะเพียง 7 นิ้ว ดีไซน์ถือง่ายในมือเดียว ฝาหลังแบบเมทัลที่เพิ่มความทนทาน หนักเพียง 320 กรัม บาง 11.3 มม. โพรเซสเซอร์ดูโอคอร์ พร้อมระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุด แอนดรอยด์ 4.1 (เจลลี่บีน) คุณสมบัติการเชื่อมต่อครบครัน โดยจะจำหน่ายในราคา 3,990 บาท (ราคารวม Vat 7%)

          
พกพาสะดวก: ICONIA | B1 พกพาสะดวกด้วยมือเดียวจับส่วนโค้งของตัวเครื่องด้านล่างซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยมือเดียว อีกทั้งยังง่ายในการเก็บในกระเป๋าเสื้อด้วยน้ำหนักที่เบาพียง 320 กรัม ซึ่งจัดได้ว่าเบาที่สุดในกลุ่มแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้ว

          Acer Smart App: ศูนย์รวมแอพพลิเคชั่นเพื่อการศึกษาสำหรับนักเรียนโดยเฉพาะ เสริมความพร้อม เพิ่มทักษะด้วยการรวบรวมสื่อความรู้ เนื้อหาเกี่ยวกับการศึกษา การเสริมสร้างทักษะให้กับเยาวชนในด้านต่างๆ พร้อมคลังข้อสอบที่ผ่านการคัดสรรตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ ไว้ใน Acer Smart App เพื่อให้เยาวชนได้ศึกษาและทดลองทำข้อสอบเป็นการเตรียมความร้พร้อมสำหรับเยาวชนในแต่ละช่วงวัย

          
สนุกฉับไว: แท็บเล็ตตัวนี้จะยกระดับประสบการณ์ความบันเทิงของคุณไปอีกขั้นด้วย 1.2GHz dual-core processor ทำให้การเล่นเกมส์สนุกและลื่นไหล รวมกับการใช้ระบบปฎิบัติการใหม่ล่าสุดแอนดรอยด์เจลลี่บีน (Android’s Jelly Bean) เพื่อช่วยให้การค้นหาบนอินเตอร์เนตและการดูหนังเป็นไปด้วยความแม่นยำ โดยการค้นหาคำส่วนใหญ่จะทำผ่าน VoiceSearch ซึ่งสามารถได้ยินคำตอบได้อย่างรวดเร็ว


          รวดเร็วและไม่มีค่าใช้จ่าย: กว่า 500 นิตยสารออนไลน์จากหลายเว็บไซต์แถวหน้าจะมารวมอยู่กันง่ายๆ เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสซึ่งต้องขอขอบคุณ Google Currents แอพพลิเคชั่นล่าสุดช่วยให้คุณค้นหา อ่าน และแชร์นิตยสาร บล็อกที่คุณชอบบนหน้าจอขนาด 7 นิ้ว (1024 x 600) แม้ขณะออฟไลน์ หากคุณเป็นคอเกมตัวยง Play Store มีกว่า 700,000 เกมส์และแอพพลิเคชั่นให้คุณเลือก


          การสนทนาผ่านวีดีโอ ICONIA | B1 มาพร้อมกับกล้องหน้าที่จะเพิ่มประสบการณ์การพูดคุยกับเพื่อน โดยตัวกล้องจะอยู่บนมุมขวาทำงานในโหมดแนวนอน ซึ่งคุณสามารถเห็นคู่สนทนาแบบ video chat ได้พร้อมๆ กัน มากกว่าสองคน


          Acer ICONIA | B1 เป็นผลิตภัณฑ์สุดค้มค่าจากเอเซอร์ซึ่งออกแบบมาให้เหมาะแก่การใช้ชีวิตในปัจจุบัน ให้คุณใช้ชีวิตออนไลน์ ท่องเน็ต แชท แชร์ Facebook ดูหนังผ่าน Youtube รวมถึงเล่นเกมส์ต่างๆมากมายโดยดาวน์โหลดฟรี ผ่าน Play Store 



ราคาและการรับประกัน


          Acer ICONIA | B1-A71 สินค้าคุณภาพระดับมาตราฐานสากลวางจำหน่ายในราคาสุดคุ้มเพียง 3,990 บาท พร้อมประกันจากศูนย์บริการเอเซอร์ทั่วประเทศทั้งค่าแรงและอะไหล่ 1 ปีเต็ม


คุณสมบัติของ ICONIA | B1-A71

  ระบบปฎิบัติการของแอนดรอยด์เจลลี่บีน
  ประมวลผลด้วย Mediatek dual-core 1.2GHz processor (MTK 8317T)
  จอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ความละเอียด 1024 x 600
  หน่วยความจำ 8GB
  เชื่อมต่อไร้สายด้วยมาตรฐาน 802.11 b/g/n
  Bluetooth® wireless technology 4.0
  GPS
  standard audio jack
  ไมโครโฟน
  ลำโพงในตัว
  รองรับ micro SD สูงสุด 32GB
  กล้องหน้าความละเอียด 0.3 เมกกะพิกเซล
  แบตเตอรี่ 2,710 mAh
  micro-USB (charging and PC connect) with USB 2.0
  ขนาด 197.4มม x 128.5มม x 11.3มม
  น้ำหนัก 320 กรัม


รายละเอียดเพิ่มเติม http://acerproduct.com/iconiab1/