วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วิธีเปิดใช้งานและตั้งค่า iCloud บน iPhone


  
  iCloud คือบริการพื้นที่เก็บข้อมูลออนไลน์ ซึ่งเป็นบริการใหม่ของแอปเปิล โดยผู้ใช้งานจะได้พื้นที่เก็บข้อมูลฟรี 5 GB และสามารถซื้อพื้นที่เก็บข้อมูลเพิ่มได้ ลักษณะทั่วไปของ iCloud เป็นบริการระบบเครือข่ายและเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ที่กระจายอยู่หลายแห่งเพื่อรองรับผู้ใช้งานจากทั่วทุกมุมโลก หรือที่นิยมเรียกกันว่า Cloud Computing (การประมวลผลบนกลุ่มเมฆ) ไม่ว่าผู้ใช้งานจะอยู่ที่ไหนบนโลก หากมีอินเทอร์เน็ตสามารถดึงข้อมูลจาก iCloud มาใช้งานได้ นอกจากนี้ iCloud ยังรองรับการใช้งานทั้งบน iPhone, iPad, Mac และใช้งานผ่านเว็บไซต์ iCloud ได้ นอกจากนี้ประโยชน์ของ iCloud ช่วยสำรองข้อมูล (Backup) และซิงก์กับอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อดึงข้อมูลได้ เช่น บุ๊กมาร์คใน Safari, ซิงก์ตารางนัดหมายและแจ้งเตือน รวมไปถึงสำรองข้อมูลสำคัญ ๆ ใน iPhone และ iPad เป็นต้น

สำหรับฟีเจอร์ iCloud จะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 5 ขึ้นไปเท่านั้น และก่อนการเปิดใช้งานหรือตั้งค่าบริการ iCloud ผู้ใช้งานจำเป็นจะต้องมี Apple ID เสียก่อน หากยังไม่มีดู วิธีสมัคร Apple ID แบบไม่ต้องใช้บัตรเครดิต ได้ที่นี่
วิธีเปิดใช้งานและตั้งค่า iCloud บน iPhone
1. ให้เปิดแอพฯ Settings (ตั้งค่า) > iCloud

2. ใส่ Apple ID และรหัสผ่าน เสร็จแล้วแตะ Sign in (หากยังไม่มี Apple ID สมัครโดยแตะที่ Get a Free Apple ID)
3. เมื่อ Sign in เข้าระบบ iCloud เรียบร้อย จะมีข้อความเตือนแสดงขึ้น โดยจะถามผู้ใช้งานว่า ต้องการให้อัพโหลดข้อมูลใน Contacts, Calendars, Reminders และ Bookmarks ไว้บน iCloud หรือไม่ ถ้าต้องการให้แตะปุ่ม Merge หากไม่ต้องการให้แตะปุ่ม Don’t Merge

4. จากนั้นจะมีข้อความเตือนอีก 1 ครั้ง โดยจะถามผู้ใช้งานว่า ต้องการอนุญาตให้ iCloud แสดงตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบันหรือไม่ ซึ่งในกรณีนี้จะเปิดใช้งานกับ Find My iPhone เพื่อหาตำแหน่่ง iPhone เครื่องนั้น ๆ ได้ ให้แตะปุ่ม OK 

5. เมื่อทำทุกขั้นตอนครบ ผู้ใช้งานก็จะเจอกับหน้านี้ ผู้ใช้งานสามารถเลือกแอพฯ ที่ต้องการใช้งานร่วมกับ iCloud ได้ โดยการแตะ OFF หรือ ON ตามต้องการ

ผู้ใช้โวย ไอโฟน 5 ถ่ายรูปใกล้แสง มีแสงฟุ้งสีม่วง


หลังจากเพิ่งจะถูกโวยเรื่องแผนที่บนระบบปฏิบัติการ iOS 6 ไปหมาด ๆ เห็นทีว่าแอปเปิลจะงานเข้าอีกระลอกซะแล้ว เมื่อล่าสุด ผู้ใช้ iPhone 5 ต่างพากันออกมาเปิดเผยว่า กล้องใน iPhone 5 นั้นมีปัญหา ถ่ายรูปกลางแดดจ้าแล้วมักจะติดแสงแฟลร์สีม่วงมาด้วยซะอย่างนั้น


โดยประเด็นเรื่องแสงแฟลร์สีม่วงนี้ กลายเป็นเรื่องที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากในเว็บบอร์ดผู้ใช้ iPhone ทั้งหลาย เพราะหลังจากที่มีผู้ใช้หลายรายได้ซื้อ iPhone 5 ไปใช้กันแล้ว ก็พบว่า เมื่อพวกเขาถ่ายรูปบริเวณใกล้จุดกำเนิดแสง หรือถ่ายย้อนแสงนั้น บริเวณใกล้จุดกำเนิดแสงจะมีแสงแฟลร์สีม่วงปรากฏขึ้นมาบนรูป ซึ่งแตกต่างจากกล้องใน iPhone 4S ที่สามารถถ่ายรูปบริเวณจุดกำเนิดแสงได้โดยที่ไม่พบปัญหาใด ๆ เลย 
จากปัญหาดังกล่าว ผู้ใช้ iPhone รายหนึ่งซึ่งเป็นแฟนเว็บไซต์ Gizmodo ได้ส่งรูปถ่ายเปรียบเทียบระหว่างภาพจาก iPhone 5 และ iPhone 4S ไปยังแอปเปิล เพื่ออธิบายปัญหานี้ ซึ่งก็ได้รับคำอธิบายกลับมาว่า การปรากฏแสงแฟลร์สีม่วงขึ้นบนจุดกำเนิดแสงบนภาพ เป็นเรื่องปกติของกล้องเล็ก ๆ เกือบทุกตัว ไม่ใช่แค่ของ iPhone เท่านั้น ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ความคลาดเคลื่อนสี เกิดจากการเหลื่อมล้ำกันของแสงแต่ละความยาวคลื่นที่มาตกกระทบที่เซ็นเซอร์รับภาพ กรณีที่ผู้ใช้ถ่ายภาพใกล้กับจุดกำเนิดแสง และแสงอยู่นอกเฟรม จึงทำให้ภาพที่ถ่ายใกล้จุดกำเนิดแสงมีลักษณะอย่างที่เห็น 
ดังนั้น ผู้ใช้จึงควรหลีกเลี่ยงการหันกล้องถ่ายในทิศทางใกล้จุดกำเนิดแสงที่มีความสว่างจ้า หรือไม่ก็ถ่ายจุดกำเนิดแสงเข้ามาอยู่ในเฟรมด้วยเลย เพื่อไม่ให้แสงแฟลร์สีม่วงปรากฏขึ้นมาดังภาพ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ การชี้แจงสาเหตุของปัญหาจากแอปเปิลในครั้งนี้ เหมือนจะบอกเป็นนัย ๆ ว่าแสงแฟลร์สีม่วงที่ปรากฏบนภาพนั้น ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดจากตัวเครื่อง iPhone 5 แต่เป็นเพราะผู้ใช้ถ่ายรูปผิดมุมไปหน่อยนั่นเอง
อย่างไรก็ดี แม้ว่าประเด็นดังกล่าวจะเป็นที่พูดถึงกันในเว็บบอร์ดอย่างมากมายในขณะนี้ แต่ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้ใช้ iPhone 5 นัก เพราะล่าสุด มีผู้เชี่ยวชาญด้านการถ่ายภาพได้ออกมาเปิดเผยไปในทางเดียวกับทางแอปเปิลว่า  ปัญหานี้เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ กับกล้องหลายรุ่น เมื่อถ่ายรูปใกล้จุดกำเนิดแสงที่อยู่นอกเฟรม ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ผู้ใช้ควรหันกล้องถ่ายให้จุดกำเนิดแสงมาอยู่ในเฟรม จะช่วยให้ภาพชัดขึ้น และลดปัญหาแสงแฟลร์สีม่วงได้อย่างดีเลยทีเดียว

สาวกเศร้า! iPhone 5 เลื่อนวันวางขายในไทยเป็นเดือนหน้า


หลังจากสาวกไอโฟนในต่างประเทศได้ iPhone 5 ไปครอบครองกันตั้งแต่เริ่มวางจำหน่ายเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทำเอาสาวกไอโฟนในไทยแทบจะอดใจรอไม่ไหว เพราะมีข่าวว่ากว่าจะวางขายในไทยก็อาจจะเกือบสิ้นเดือนตุลาคมนู่นแน่ะ แต่ล่าสุด เห็นทีว่าสาวกไอโฟนที่รอไม่ไหวคงจะต้องมองหาเครื่องหิ้วซะแล้วล่ะมั้ง เมื่อมีแหล่งข่าวเปิดเผยว่า iPhone 5 อาจจะเลื่อนการวางขายในไทยไปถึงเดือนพฤศจิกายนนู่นเลย 

โดยแหล่งข่าวเปิดเผยว่า iPhone 5 ไม่สามารถวางขายในไทยได้ภายในเดือนตุลาคมดังที่มีการคาดการณ์ไว้ แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเพราะเหตุใดจึงต้องเลื่อนวันวางจำหน่ายให้สาวกตัวยงรอเก้อกันต่อไปอย่างนี้ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า iPhone 5 ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เกินความคาดหมาย จำนวนผู้สนใจซื้อมีมากกว่า iPhone 5 ที่ผลิตออกมา จึงทำให้แอปเปิลต้องเลื่อนวันวางจำหน่ายออกไป ซึ่งก็ไม่ใช่แค่ในไทยเท่านั้น แต่กระทบหลายประเทศอยู่เหมือนกัน และก็ไม่ใช่แค่นั้น ก่อนหน้านี้ ลูกค้าส่วนหนึ่งที่สั่งจอง iPhone 5 ผ่านทาง apple.com ก็ถูกเลื่อนวันส่งมอบเช่นกัน ด้วยปัญหาที่ว่า ยอดการสั่งจองมีมากเกินจำนวนเครื่องในคลังสินค้าที่สามารถส่งมอบได้
ทั้งนี้ iPhone 5 ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่โดดเด่นมากที่สุดในตลาดโทรศัพท์มือถือในขณะนี้ เพราะหลังจากเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผู้สนใจอย่างล้นหลาม และหลังจากแอปเปิลเปิดให้สั่งจองแล้ว ก็มียอดสั่งจองทะลุ 2 ล้านเครื่องภายใน 24 ชั่วโมง ทุบสถิติเดิม ๆ ที่ไอโฟนรุ่นก่อน ๆ เคยทำได้ไปอย่างราบคาบ ขณะที่นักวิเคราะห์ได้เปิดเผยว่า iPhone 5 นี้มาแรงมาก มันจะเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มียอดขายสูงที่สุดและขายได้รวดเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์เลยทีเดียว

10 อาการที่บ่งบอกว่าคุณไม่เหมาะกับ iPhone 5


DL Special: 10 อาการที่บ่งบอกว่าคุณไม่เหมาะกับ iPhone 5
iPhone 5 - หากความสวยงามของ iPhone 5 ทำให้คุณลังเล แต่ก็ยังมีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่ค้างคาอยู่ในใจว่าจะเอาดีไม่เอาดี วันนี้เราจึงได้สรุปอาการบางอย่าง ที่อาจจะพอเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าคุณอาจจะไม่ได้ต้องการ iPhone 5 จริงๆ จะมีอะไรบ้างนั้นลองมาดูกันเลยครับ
1. คุณเป็นคนไม่ชอบรักษาของ
อย่างที่รู้กันดีว่า iPhone 5 นั้นทำมาจากอลูมิเนียมผิวด้าน ซึ่งวัสดุแบบนี้จะสามารถเป็นรอยได้ง่ายมากๆ เพียงแค่นำใส่กระเป๋าสะพายเพียงแค่ครั้งเดียว นั่นอาจหมายถึงรอยขีดขวนอย่างชัดเจนประมาณ 2-3 รอยได้เลย ซึ่งทางแก้ก็คือรักษามันอย่างสุดชีวิต หรืออาจจะใช้อุปกรณ์เสริมจำพวกเคสและฟิล์มกันรอยรอบตัวมาติดให้ยุ่งยากกัน เข้าไปหน่อย ดังนั้นนี่คงไม่ใช่อุปกรณ์สำหรับขาลุยแน่ๆ
2. คุณคิดว่า iPhone 4S น้ำหนักพอดีมืออยู่แล้ว
สิ่งหนึ่งที่สุดยอดมากๆ ใน  ก็คือน้ำหนักเครื่องที่เบามาก จนบางคนรู้สึกว่าเบาเกินไป ซึ่งจากที่เราได้ลองทดสอบใช้งานมาเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร ก็ยอมรับตามตรงว่ายังไม่ถนัดกับน้ำหนักของตัวเครื่อง iPhone 5 ที่เบาเกินไปทำให้เวลาหยิบจับขึ้นมาใช้จะรู้สึกแปลกๆ และให้ความรู้สึกเหมือนไม่ทนทานเทียบกับรูปลักษณ์ที่เห็น ซึ่งหลายๆ คนคิดว่าน้ำหนักระดับ iPhone 4S ดูกระชับมือมากกว่า
3. คุณเป็นคนไม่ชอบรอ
ในขณะที่กำหนดการเปิดตัว iPhone 5 ในบ้านเรายังเงียบเป็นปริศนา บ้างก็ว่าปลายเดือนตุลาคม บ้างก็บอกต้นเดือนพฤศจิกายน แต่ที่แน่ๆ หาก iPhone 5 เปิดตัวจริงๆ จังๆ เมื่อไหร่ เราจะได้เจอมหกรรมแห่งการต่อคิวซื้ออีกครั้ง และครั้งนี้ดูเหมือนจะทวีความนิยมมากขึ้นกว่าแต่ก่อนอีก ซึ่งน่าจะทำให้คิวการสั่งซื้อและสั่งจองยาวมากกว่าเก่า โดยหากจะซื้อกันแบบง่ายๆ ก็น่าจะเลยไปถึงช่วงสิ้นปีหรือต้นปีหน้ากันเลยทีเดียว
4. คุณไม่ได้เป็นคอเกม
หน้าจอที่ยาวขึ้นของ iPhone 5 ทำให้การใช้งานแอพพลิเคชันต่างๆ สะดวกขึ้นก็จริง แต่คงเถียงไม่ได้ว่าหน้าจออัตราส่วน 16:9 นั้นทำให้การเล่นเกมสนุกขึ้นมาก ซึ่งนี่น่าจะเป็นประโยชน์สูงสุดของหน้าจอที่ยาวขึ้นบน iPhone 5 นอกเหนือจากประโยชน์ในการแสดงผลเว็บไซต์ ดังนั้นหากคุณเป็นหนึ่งคนที่มองว่าการเล่นเกมเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ไม่ได้ต้องการพื้นที่ที่เพิ่มเข้ามาสักเท่าไร จอที่ยาวขึ้นคงไม่มีผลอะไรกับคุณ
5. คุณไม่ชอบพกสายชาร์จหลายเส้นหรืออะแดปเตอร์
การเปลี่ยนไปใช้สาย Lightning สร้างประโยชน์มากมายให้กับคนที่ใช้ iPhone 5 เพียงเครื่องเดียว แต่หากคุณเป็นคนที่มีอุปกรณ์ iOS หลายเครื่องล่ะ? คุณอาจจำเป็นต้องพกสายชาร์จมากกว่าหนึ่งเส้นสำหรับการเดินทางไกล หรืออาจจะต้องมีอะแดปเตอร์แปลงหัว 30-pin เป็น Lightning ไปด้วยอีกชิ้น (ต้องเสียเงินซื้อเพิ่มอีก) ซึ่งหากเป็นแต่ก่อนเรายังพอวัดดวงได้ว่าเพื่อนของเราจะเอาสายชาร์จไปด้วย หรือเปล่า (ซึ่งก็ไม่ดีเหมือนกัน) แต่คราวนี้ดูเหมือนคุณจะต้องพึ่งตัวเองสถานเดียวแล้ว
6. คุณมีอุปกรณ์เสริมของ iPhone 4/4S เยอะมาก
อุปกรณ์เสริมทั้งหลายที่คุณเคยซื้อมาใช้กับ iPhone 4/4S ไม่ว่าจะเป็นเคส, ลำโพง, อุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ โดยส่วนมากถ้าออกแบบมาให้พอดีกับรูปร่างของ iPhone 4/4S จะไม่สามารถใช้กับ iPhone 5 ได้ แน่นอนว่าเพราะรูปร่างของทั้งสองรุ่นนั้นแตกต่างกันพอประมาณ ทำให้อุปกรณ์บางอย่างก็แทบจะใช้ร่วมกันไม่ได้เลยต่อให้มีอะแดปเตอร์แปลงหัว เชื่อมต่อแล้วก็ตาม (เพราะตัวแปลงก็มีขนาดใหญ่พอสมควร) นั่นหมายความว่าถ้าคุณยังรักอุปกรณ์เสริมที่สำหรับใครบางคนแล้วมูลค่า มากกว่า iPhone 4S ทั้งเครื่องเสียอีก การเปลี่ยนเป็น iPhone 5 ก็อาจเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักหน่อย
7. คุณเป็นคนนิ้วสั้น
เรื่องนี้ไม่ได้พาดพิงใครที่ไหนเพราะเกิดขึ้นกับตัวเองล้วนๆ โดยปรกติแล้ว iPhone 4S นั้นจะมีส่วนสูงที่พอดีกับนิ้วมือคนอยู่แล้ว และถึงแม้ใครจะนิ้วสั้นก็สามารถใช้งานได้ด้วยมือเดียวไม่ยาก แต่สำหรับ iPhone 5 ที่จอยาวขึ้นนั้นแน่นอนว่าตำแหน่งไอคอนหรือปุ่มต่างๆ ที่อยู่ด้านบนสุดนั้นจะลำบากในการกดด้วยมือเดียวพอสมควร ดังนั้นใครที่ติดนิสัยชอบใช้มือเดียวทั่วหน้าจอ คงต้องลำบากกันเสียหน่อย
8. คุณไม่ชอบจอสีสดเกินไป
หน้าจอของ iPhone 5 นั้นได้รับการปรับปรุงให้มีสีสันที่สดใสมากๆ แต่ในบางครั้งก็สดใสเกินไปจนดูแปลกตาไปเลยก็มี เช่นการแสดงผลสีเขียวที่มีความอิ่มตัวแบบสุดๆ จนให้ความรู้สึกเหมือนจอของสมาร์ทโฟนจากซัมซุงที่ขึ้นชื่อเรื่องจอสีสดอยู่ แล้ว ซึ่งหากเทียบกับจอของ iPhone 4S จะเห็นได้ชัดว่าจอแบบเดิมนั้นสีดูสบายตากว่า เพราะไม่แรงจนเกินไปนั่นเอง
9. คุณไม่อยากสูญเงินเดือนละหนึ่งพันบาท
จริงๆ อุปกรณ์ไอทีเกือบทุกชิ้นในโลกจะเสื่อมราคาลงตามระยะเวลาในการใช้งาน ซึ่ง iPhone ก็ไม่มีข้อยกเว้ย โดยจากค่าเฉลี่ย หากเราซื้อ iPhone 5 มาในราคาประมาณ 24,000 บาท เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปีจนถึงเวลาที่ iPhone 6 (นามสมมุติของ iPhone รุ่นใหม่) ออกวางจำหน่ายและเราก็อยากจะขายเครื่องเก่าและซื้อเครื่องใหม่ นั่นจะทำให้เราเสียเงินค่าเสื่อมราคาไปประมาณเดือนละ 1,000 บาท และยังไม่รวมถึงค่าอุปกรณ์เสริมและฟิล์มกันรอยที่ต้องซื้อใหม่หมดยกแผง ซึ่งอาจจะทำให้ค่าใช้จ่ายต่อเดือนมีมากกว่าหนึ่งพันบาทก็เป็นไปได้
10. คุณเกลียดแอปเปิ้ล
หากสินค้าตราแอปเปิ้ลเป็นอะไรที่คุณรู้สึกไม่ถูกชะตา สินค้าก็ยอมรับไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่ทำให้คุณคอยคิดลบใส่บริษัทตราผลไม้นี้ และ 9 ข้อที่ผ่านมาก็ไม่ใช่เหตุผลหลักเท่าข้อนี้ นั่นหมายความว่า iPhone 5 ก็คงไม่เหมาะกับคุณเท่าไร ซึ่งตัวเลือกในตลาดดีๆ ก็มีอีกมากมายที่จะตอบโจทย์การใช้งานได้ไม่แพ้กัน

ตั้งค่าโทรด่วน เบอร์คนโปรดบน iPhone ด้วย Favorites


สำหรับผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือทุกคน ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือเร่งด่วน การหาเบอร์โทรศัพท์ของบุคคลที่ต้องการติดต่อด้วยถือเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับผู้ใช้ iPhone สามารถตั้งค่าเบอร์โทรศัพท์สำคัญ ๆ เพื่อโทรออกแบบเร่งด่วนหรือจะบันทึกเบอร์โทรศัพท์บุคคลที่โทรหาเป็นประจำ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน ขอแนะนำวิธีการตั้งค่าโทรด่วนและเบอร์คนโปรดบน iPhone ด้วย Favorites ด้วยวิธีการง่าย ๆ ดังต่อไปนี้ 
วิธีตั้งค่าโทรด่วน เบอร์คนโปรดบน iPhone ด้วย Favorites
1. เปิดแอพฯ โทรศัพท์ (Phone) > แตะเลือกแท็บ Favorites (รายการโปรด)

 
2. แตะปุ่ม + เพื่อเพิ่มเบอร์โทรศัพท์ที่ต้องการ เสร็จแล้วเลือกรายชื่อที่ต้องการตั้งเป็น Favorites 

 
3. เมื่อเลือกรายชื่อที่ต้องการได้แล้ว ให้เลือก Voice Call เสร็จแล้วรายชื่อจะแสดงอยู่ในหน้า Favortiesหากต้องการเพิ่มรายชื่ออื่น ๆ ให้แตะเครื่องหมาย + เพื่อเพิ่มรายชื่อ

 
เพียงเท่านี้เราก็มีเบอร์โทรศัพท์ที่ใช้โทรออกบ่อย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องไปค้นหาจากรายชื่อให้เสียเวลา เพียงแค่แตะแท็บ Favorites ก็สามารถเลือกเบอร์โทรด่วนหรือเบอร์คนโปรดก็สามารถโทรออกได้ง่าย ๆ

ตั้งค่าใช้งานปุ่มลัด (AssistiveTouch) เพื่อถนอมปุ่ม Home


อีกหนึ่งปัญหาสำหรับผู้ใช้งาน iPhone และ iPad ก็คือปุ่ม Home เมื่อใช้ไปนานก็จะเกิดอาการกดปุ่มได้ยาก ปุ่มไม่ค่อยตอบสนองการใช้งาน เพราะปุ่ม Home ถือว่าเป็นปุ่มสำคัญที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถออกจากแอพฯ และกลับมายังหน้า Home Screen ของ iPhone ซึ่งวิธีการแก้ไขปัญหาปุ่ม Home ก็ต้องให้ร้านมือถือช่วยซ่อมและมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง

ดังนั้นวิธีการที่จะถนอมปุ่ม Home ให้ใช้ได้นาน ๆ ก็คือการใช้ฟีเจอร์ AssistiveTouch ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 5 ขึ้นไป มีลักษณะเป็นปุ่มลัดและทำหน้าที่เหมือนกับปุ่ม Home จะแสดงผลเป็นจุดวงกลมสีขาวอยู่บนหน้าจอของ iPhone มาดูวิธีการเปิดใช้งานปุ่มลัด AssistiveTouch กันครับ 
วิธีการเปิดใช้ปุ่มลัด (AssistiveTouch) เพื่อถนอมปุ่ม Home
1. ให้เปิดแอพฯ Settings (ตั้งค่า) > General (ทั่วไป)
2. เลือกเมนู Accessibility (ผู้พิการ) จากนั้นเลื่อนลงมาในส่วนของ Physical & Motor (กายภาพและการเคลื่อนไหว) > เลือก AssistiveTouch
3. เปิดปุ่ม AssistiveTouch ให้เป็น ON (เปิด) เมื่อเปิดโหมด AssistiveTouch ก็จะมีสัญลักษณ์วงกลมสีขาวแสดงอยู่บนหน้าจอ สามารถเลื่อนไปยังตำแหน่งที่ต้องการได้
4. ปุ่ม AssistiveTouch ยังมาพร้อมกับความสามารถอื่น ๆ นอกเหนือจากการใช้แทนปุ่ม Home แล้ว สามารถใช้ปุ่ม AssistiveTouch ตั้งค่าอื่น ๆ ได้ เช่น หมุนหน้าจอ, ล็อกหน้าจอ, เปิดเสียง, เพิ่มลดความดังเสียง, เขย่า เป็นต้น

การใช้งานปุ่ม AssistiveTouch อาจจะมีข้อเสียอยู่บ้าง เนื่องจากปุ่มจะปรากฏอยู่หน้าจอตลอดเวลา บางครั้งในการใช้งานอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกรำคาญได้ หากมีความจำเป็นแนะนำให้ปิดปุ่ม AssistiveTouch ไปก่อนเมื่อความสะดวกในการใช้งาน

วิธีสมัคร Apple ID ผ่านโปรแกรม iTunes


การสมัคร Apple ID นอกจากจะสมัครผ่าน iPhone ได้แล้ว (วิธีสมัคร Apple ID แบบไม่ต้องใช้บัตรเครดิต) อีกหนึ่งช่องทางที่สามารถสมัคร Apple ID ได้ก็คือการสมัครผ่านโปรแกรม iTunes นั่นเอง และสามารถสมัครได้โดยไม่ต้องมีบัตรเครดิต ถ้าพร้อมแล้วมาดูวิธีการสมัคร Apple ID แบบไม่ต้องใช้บัตรเครดิตผ่านโปรแกรม iTunes ก่อนอื่นอย่าลืมดาวน์โหลดโปรแกรม iTunes ติดตั้งลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เรียบร้อย ดาวน์โหลดโปรแกรม iTunes ได้ที่นี่ 

วิธีสมัคร Apple ID ผ่านโปรแกรม iTunes
1. เปิดโปรแกรม iTunes (ไม่ต้องเชื่อมต่อ iPhone, iPad แต่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต)
2. คลิกเลือกเมนู iTunes Store จากนั้นเลื่อนลงมาในส่วนของ Free Apps (ต้องเลือก Free Apps เท่านั้น จึงจะสมัครแบบไม่ใช้บัตรเครดิตได้)
3. คลิกเลือกแอพพลิเคชั่นแบบฟรี โดยคลิกที่คำว่า FREE ตามภาพ
4. คลิกสมัคร Apple ID โดยคลิกที่ปุ่ม Create Apple ID
5. หน้ายืนยันการสมัครให้คลิกปุ่ม Continue
6. เงื่อนไขและนโยบายความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับใช้งาน iTunes Store ของ Apple (แนะนำให้อ่าน) จากนั้นติ๊กเลือกยอมรับข้อตกลงและคลิกปุ่ม Agree

7. กรอกข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการสมัคร Apple ID เช่น อีเมล, รหัสผ่าน, คำถามกันลืมและวันเกิด จากนั้นคลิกปุ่ม Continue
8. ขั้นตอนสำคัญ!! ในส่วนของ Payment (การจ่ายเงินเพื่อซื้อแอพฯ) ในกรณีนี้สมัครแบบไม่ใช้บัตรเครดิตให้เลือกเป็นคำว่า None เสร็จกรอกข้อมูลส่วนตัวให้ครบ ในส่วนของ Billing Address เช่น ชื่อ นามสกุล, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์ เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Create Apple ID
9. Verify your Appld ID ยืนยันการสมัคร Apple ID โดยทางแอปเปิลจะส่งลิงค์ยืนยันการสมัครไปอีเมลที่ได้ระบุไปในขั้นตอนการสมัคร Apple ID ในขั้นตอนนี้ให้ผู้ใช้งานเช็คอีเมล
10. เปิดอีเมล จากนั้นคลิกลิงก์ Verify Now เพื่อยืนยันการสมัคร Apple ID
11. จากนั้นกรอกอีเมลและรหัสผ่านที่ใช้สมัคร Apple ID ให้ถูกต้อง เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Verify Address
12. หากกรอกข้อมูลถูกต้อง ระบบก็จะแสดงการยืนยันการสมัคร Email address verified. ตามตัวอย่างดังรูป เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Return to the Store จากนั้นระบบจะทำการล็อกอินด้วย Apple ID ให้อัตโนมัติผ่านโปรแกรม iTunes
เพียงเท่านี้เราก็สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นผ่าน iTunes บนคอมพิวเตอร์และ App Store บน iPhone โดยใช้ Apple ID ตัวเดียวกันได้  โดยไม่จำเป็นต้องมีบัตรเครดิต แต่ถ้าหากต้องการซื้อแอพฯ สามารถเพิ่มเติมข้อมูลบัตรเครดิตได้ในภายหลัง

วิธีสมัคร Apple ID แบบไม่ต้องใช้บัตรเครดิต



สำหรับผู้ใช้ iPhone มือใหม่ ที่ต้องการดาวน์โหลดแอพฯ มาติดตั้งและใช้งานบน iPhone แต่ติดปัญหาตรงที่ไม่มี Apple ID (บัญชีที่เอาไว้โหลดแอพฯ จาก App Store) ทำให้ไม่สามารถดาวน์โหลดแอพฯ ได้ และติดปัญหาตรงที่ไม่มีบัตรเครดิต ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ การสมัคร Apple ID นั้นมีเทคนิคการสมัครแบบไม่ต้องใช้บัตรเครดิตก็ได้ โดยมีเงื่อนไขคือสามารถดาวน์โหลดได้เฉพาะแอพฯ ที่แจกฟรีเท่านั้น หากต้องการซื้อแอพฯ แบบเสียเงิน สามารถเพิ่มข้อมูลบัตรเดรดิตได้ในภายหลัง ถ้าพร้อมแล้วมาดูวิธีการสมัคร Apple ID แบบไม่ต้องใช้บัตรเครดิต ทุกขั้นตอนสามารถทำได้จาก iPhone ส่วนขั้นตอนจะมีอะไรบ้างนั้น มาติดตามกันเลย
วิธีสมัคร Apple ID แบบไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
1. เปิด App Store จากบน iPhone

2. เลือกแท็บ Top 25 หรือ Top Charts เสร็จแล้วกดเลือกแท็บ Top Free เพื่อเลือกแอพฯ แบบฟรี จากนั้นให้เราเลือกแอพฯ ใดแอพฯ หนึ่งที่มีคำว่า FREE เพื่อใช้สมัคร Apple ID (ต้องเลือกแอพฯ ฟรีเท่านั้น หากเลือกแอพฯ แบบเสียเงินจะต้องใส่เลขบัตรเครดิต)

3. เมื่อเลือกแอพฯ ฟรีที่ต้องการได้ ให้กดเข้าไปที่แอพฯ เสร็จแล้วให้กดตรงปุ่ม Free และ Install App

 
4. หน้าจอจะแสดงข้อความเตือนดังรูป ให้เลือก Create New Apple ID เพื่อสร้าง Apple ID

5. เลือก Store ของประเทศที่ต้องการใช้งาน ขั้นตอนนี้ให้เลือกเป็น Store Thailand จากนั้นกดปุ่ม Next

 6. ข้อมูลเงื่อนไขและข้อตกลงการใช้งาน iTunes Store ให้กดปุ่ม Agree เพื่อยอมรับเงื่อนไขและข้อตกลง


 
7. กรอกข้อมูลอีเมล (ควรใช้อีเมลที่ใช้งานอยู่จริง) กำหนดรหัสผ่าน 8 ตัวขึ้นไป และต้องประกอบไปด้วยตัวอักษรตัวพิมพ์ใหญ่, ตัวพิมพ์เล็ก และตัวเลขเท่านั้น เช่น AbCd123456 เป็นต้น

8. จากนั้นเลื่อนลงมาด้านล่างเพื่อกรอกข้อมูลคำถามป้องกันการลืม ให้ตั้งคำถามพร้อมระบุคำตอบที่ต้องการ เช่น What’s your name ? เป็นต้น การตั้งคำถามจะใช้ในกรณีที่ลืมรหัสผ่านนั่นเอง เสร็จให้กรอกวัน เดือน ปีเกิด และหากต้องการรับข่าวสารจากแอปเปิลทางอีเมลให้กดเลือก Subscribe จากนั้นกด Next เพื่อไปขั้นตอนต่อไป

9. กรอกข้อมูลบัตรเครดิต (ขั้นตอนนี้สำคัญ) ในกรณีนี้เราไม่มีบัตรเครดิตให้เลือกที่ None (หากต้องการโหลดแอพฯ สามารถระบุข้อมูลบัตรเครดิตได้ในภายหลัง) จากนั้นเลื่อนลงมากรอกข้อมูลที่อยู่ และเบอร์โทรให้ครบถ้วน เสร็จแล้วให้กด Next

 
10. ขั้นตอนการยืนยัน Apple ID ทางแอปเปิลจะส่งอีเมลยืนยันไปยังอีเมลที่ใช้สมัคร ให้เราเข้าไปเช็คอีเมลเพื่อกดยืนยันการสมัคร Apple ID
(หากเราเชื่อมต่อหรือซิงก์อีเมลกับ iPhone ไว้ สามารถกดเช็คอีเมลและยืนยันการสมัคร Apple ID จาก iPhone ก็ได้)

11. แอปเปิลจะส่งอีเมลยืนยันการสมัคร Apple ID ให้เปิดอีเมลนั้นแล้วคลิกลิงก์ Verify Now เพื่อยืนยันการสมัคร

12. จากนั้นกรอกอีเมลที่ใช้สมัครและรหัสผ่านให้ถูกต้อง เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Verify Address

13. หากกรอกข้อมูลถูกต้อง ระบบก็จะแสดงการยืนยันการสมัคร ตัวอย่างดังรูป

14. กลับมาที่ App Store อีกครั้ง กดเลือกแอพฯ ที่ต้องการโหลด จากนั้นจะมีข้อความแจ้งเตือนอีกครั้ง ให้กดเลือก Use Existing Apple ID จากนั้นกรอกอีเมลและรหัสผ่านของ Apple ID


 
เพียงเท่านี้ เราก็สามารถโหลดแอพฯ ฟรีจาก App Store ลงบน iPhone ได้ตามต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องมีบัตรเครดิต แต่ถ้าหากต้องการซื้อแอพฯ สามารถเพิ่มเติมข้อมูลบัตรเครดิตได้ในภายหลัง